JUBILE ปรับกลยุทธ์สู้โควิด-19 รุกจัดทัพตีตลาดออนไลน์เต็มกำลัง

JUBILE ปรับกลยุทธ์สู้โควิด-19 รุกขายออนไลน์เต็มตัว เล็งปรับเป้าผลงานทั้งปี-เปิดสาขาใหม่อีกครั้ง


นางสาวอัญรัตน์ พรประกฤต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยูบิลลี่ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JUBILE เปิดเผยถึง ผลประกอบการไตรมาส 1/2563 บริษัทมียอดขาย 364.8 ล้านบาท ลดลง 21.2 ล้านบาท หรือประมาณ 5.5% มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 45.1 ล้านบาท ลดลง 7.8 ล้านบาท หรือประมาณ 14.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 52.9 ล้านบาท

ทั้งนี้มาจาก 2 สาเหตุหลัก คือ ในไตรมาสนี้บริษัทเริ่มรับรู้ค่าใช้จ่ายจากสัญญาเช่าตามมาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 16 ซึ่งกระทบกำไรสุทธิทำให้กำไรสุทธิลดลงประมาณ 8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่แล้ว และอีกสาเหตุมาจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เริ่มระบาดในประเทศไทยตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

รวมถึงการที่สาขาของบริษัทฯที่ดำเนินการอยู่ในห้างสรรพสินค้าต้องหยุดกิจการชั่วคราวตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม ตามประกาศจากรัฐบาล อย่างไรก็ดีบริษัทยังคงรักษาอัตรากำไรขั้นต้นได้ดีที่ระดับ 49.6% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 47.6% จากการบริหารต้นทุนสินค้าที่ดี รวมถึงการบริหารส่วนประสมของผลิตภัณฑ์ (Product Mix) ที่สามารถทำให้ได้กำไรที่ดีขึ้น

โดยภาพรวมรายได้ในช่วงเดือนมกราคม และกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ยังเติบโตได้ดีเมื่อเทียบกับช่วงเดือนเดียวกันในปีที่แล้ว แต่ส่วนเดือนมีนาคมจนถึงปัจจุบันที่มีมาตรการปิดห้างสรรพสินค้า ทำให้กระทบส่วนของยอดขายลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากผลกระทบที่ต้องปิดสาขาเกือบทั้งหมด ส่งผลให้ยอดขายจากสาขาลดลง

อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ปรับกลยุทธ์โดยหันมาเน้นช่องทางการขายผ่านระบบออนไลน์ หรือระบบ E-Commerce อย่างเต็มตัว ทางเว็บไซต์ www.jubileediamond.co.th ซึ่งเป็นช่องทางออนไลน์หลักของบริษัทฯ โดยก่อนหน้านี้บริษัทได้จัดเตรียมแพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อขายสินค้าของบริษัทฯควบคู่ไปกับการขายหน้าร้านอยู่แล้ว แต่เมื่อมีเหตุการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จึงมาเน้นขายแบบออนไลน์ และทำโปรโมชั่นส่งเสริมการตลาดอย่างเต็มรูปแบบ  โดยลูกค้าจะได้รับทั้งโปรโมชั่นรูปแบบต่างๆ รวมถึงการผ่อนชำระ ผ่านบัตรเครดิตสูงสุดถึง 10 เดือนและรับเครดิตเงินคืน เหมือนกับการไปซื้อสินค้าที่หน้าร้าน

พร้อมทั้งมีบริการส่งเพชรตรงถึงหน้าบ้านลูกค้าโดยไม่ต้องมารับเอง หรือหากลูกค้าอยากชมสินค้าจริงก่อนตัดสินใจซื้อ ก็สามารถไปชมได้ทั้ง 2 สาขา ที่เปิดให้บริการอยู่ คือที่สาขาสะพานเหล็ก และสาขาสีลม ซึ่งช่องทางการขายผ่านออนไลน์ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า ทำให้ยอดขายผ่านระบบออนไลน์เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด แม้ยอดขายจะยังไม่สามารถเทียบเท่ากับยอดขายจากจำนวนสาขาทั้งสิ้นกว่า 130 สาขาได้ แต่ทำให้มีรายได้เข้ามาเพียงพอกับค่าใช้จ่ายที่จำเป็นเพื่อให้ผ่านวิกฤตนี้ไปได้ ควบคู่กับการบริหารกระแสเงินสดอย่างเข้มงวดระมัดระวัง

 “ถือว่าทีมการตลาดเราปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว มีกลยุทธ์บุกการขายออนไลน์อย่างเต็มตัว  ซึ่งทำให้ตัวเลขยอดขายผ่านช่องทางออนไลน์เติบโตมากขึ้นหลายเท่าตัว  ภายในช่วงเวลาเดือนเศษๆ ที่มีมาตรการปิดห้าง ทั้งนี้ เพื่อให้สอดรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคและการปรับตัวของภาคธุรกิจที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและฉับพลัน และปรับตัวเข้าสู่ New Normal อย่างเต็มรูปแบบ

ดังนั้น บริษัทฯ จึงมุ่งเน้นขยายการเติบโตในช่องทางดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับช่องทางการขายผ่านสาขา และถือได้ว่า JUBILE เป็นผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกเครื่องประดับเพชรรายแรกในประเทศไทย ที่รุกการขายทาง E-Commerce อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งต้องจัดทัพทีมขายเร่งทำการตลาดหนักกว่าเดิมอีกเท่าตัว เพื่อผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปให้ได้” นางสาวอัญรัตน์กล่าว

สำหรับลูกค้าที่เข้ามาซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ในช่วงที่ผ่านมา มีสัดส่วนของลูกค้าใหม่ถึง 80%  ซึ่งถือว่าเราได้ขยายฐานลูกค้าได้กว้างมากขึ้น จึงมองว่า หลังจากห้างสรรพสินค้าได้กลับมาเปิดดำเนินการ กลยุทธ์การตลาดจะมีทั้งออนไลน์และสาขาควบคู่กันไป ผ่านระบบวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าที่บริษัทฯใช้เป็นเครื่องมือในการวางแผนกลยุทธ์และการบริหารจัดการ สร้างยอดขายให้เติบโตได้ดีในปีที่แล้ว

ด้านแผนการเพิ่มยอดขายผ่านสาขา ทางทีมบริหารยังคงเน้นกลยุทธ์การเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (Same Store Sales Growth) ต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา ขณะที่แผนการเปิดสาขาใหม่ ขอประเมินดูสถานการณ์และดูพฤติกรรมของผู้บริโภคหลังสถานการณ์อีกครั้ง จากเดิมตั้งเป้าเปิดสาขาใหม่เพิ่มในปีนี้อีก 3-5 แห่ง เพราะการเติบโตทางช่องทางออนไลน์ บริษัทสามารถทำผลงานได้ดีมาก

ส่วนเป้าหมายในปี 2563 อาจมีการปรับลดจากที่ตั้งเป้าไว้เมื่อต้นปี เนื่องจากความไม่แน่นอนจากสถานการณ์ Covid-19 จึงขอดูสถานการณ์อีกสักระยะ แต่อย่างไรก็ตามบริษัทจะยังคงรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้น (GP) ให้อยู่ในระดับสูงกว่า 45%

ทั้งนี้เพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ถือหุ้นจากการเลื่อนการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัทออกไปโดยไม่มีกำหนด คณะกรรมการบริษัทจึงเห็นสมควรพิจารณาให้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลแทนการจ่ายเงินปันผลประจำปี 2562 โดยมีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลการดำเนินงานงวด 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2562 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2562 ในอัตราหุ้นละ 0.49 บาท (สี่สิบเก้าสตางค์) รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 85.39 ล้านบาท (ซึ่งเป็นจำนวนเดิมตามที่บริษัทเคยแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2563) โดยกำหนดให้วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม 2563 เป็นวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) และกำหนดจ่ายในวันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน 2563

Back to top button