10 หุ้นตัวท็อป SET50 โชว์งบ Q1 กำไรโตแกร่ง! สวนวิกฤตโควิด-19

10 หุ้นตัวท็อป SET50 โชว์งบ Q1 กำไรโตแกร่ง! สวนวิกฤตโควิด-19


ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์ ได้ทำการรวบรวมข้อมูลบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท) ที่ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2563 มานำเสนอ โดยครั้งนี้คัดเลือกเฉพาะหุ้น SET50  ที่มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นมากสุด 10 อันดับแรก และกำไรเติบโตสวนวิกฤติการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 และภาวะสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯที่กดดันการลงทุนทั่วโลกซึ่งมีดังนี้

โดยอันดับ 1 คือ ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TMB รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1/63 สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.63 มีกำไรสุทธิ  4,163.46 ล้านบาท เติบโต 163.70%  จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 1,578.84 ล้านบาท

โดยผลการดำเนินงานไตรมาสดังกล่าว ปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเนื่องจาก ได้รับรู้รายได้จากธนาคารธนชาตเข้ามาเต็มไตรมาส ขณะเดียวกันสินเชื่อขยายตัวสินเชื่อเช่าซื้อรายย่อยมีแนวโน้มเติบโตที่ดี

ส่วนรายได้ดอกเบี้ยที่ปรับตัวดีขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 59 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน มาอยู่ที่ 19,605 ล้านบาท โดยการเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากรายได้ดอกเบี้ยเช่าซื้อและสัญญาเช่าการเงินขยายตัวร้อยละ 215.4 จากไตรมาสก่อน และการบริหารต้นทุนทางการเงินที่ดี

ขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 15 จากไตรมาสก่อนส่วนใหญ่มาจากรายได้ค่าธรรมเนียมแบงก์แอสชัวรันส์จากธุรกิจเช่าซื้อ

 

อันดับ 2 บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TCAP รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1/63 สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.63 มีกำไรสุทธิ  4,315.58 ล้านบาท เติบโต 114.10%  จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 2,015.67 ล้านบาท

โดยแบ่งเป็น บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จํากัด (มหาชน) มีกําไรสุทธิจํานวน 112 ล้านบาท, บริษัท ธนชาตประกันภัย จํากัด (มหาชน) มีกําไรสุทธิจํานวน 114 ล้านบาท, บริษัท ราชธานีลิสซิ่ง จํากัด (มหาชน) มีกําไรสุทธิตามงบการเงินรวมจํานวน 465 ล้านบาท, บริษัท ธนชาต เอสพีวี 2 จํากัด มีกําไรสุทธิจํานวน 2,855 ล้านบาท, และบริษัทบริหารสินทรัพย์ รวมบริษัทย่อยอื่น มีกำไรจํานวน 167 ล้านบาท รวมถึงมีส่วนแบ่งกําไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม ตามวิธีส่วนได้เสียอีกจํานวน 954 ล้านบาท

 

อันดับ 3 บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1/63 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2563 มีกำไรสุทธิ  800.95 ล้านบาท เติบโต 90.96%  จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 419.44 ล้านบาท

โดยในไตรมาสที่ 1 ปี2563 มีรายได้จากการขายรวมอยู่ที่ 4,061 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 700 ล้านบาทหรือร้อยละ 20.8 โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากปริมาณคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นของการส่งออกเครื่องดื่มบำรุงกำลังไปยังตลาดต่างประเทศ และการเติบโตของรายได้จากการ รับจ้างจัดจำหน่ายสินค้าให้บุคคลภายนอก

 

อันดับ 4 บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/63 สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค. 63 มีกำไรสุทธิ 1,712.67 ล้านบาท เติบโต  89.23 %  จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 905.08 ล้านบาท

ทั้งนี้ปัจจัยที่ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น เนื่องจากในไตรมาสนี้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงอย่างรวดเร็วเทียบกับดอลลาร์สหรัฐจึงส่งผลบวกให้เกิดกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวนสูงถึง 112 ล้านเหรียญสหรัฐ

 

อันดับ 5 บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม มีกำไรสุทธิ 1,579.89 ล้านบาท เติบโต  67.69%  จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 942.18 ล้านบาท

สำหรับรายได้จากการขายและการให้บริการไตรมาส 1/2563 อยู่ที่ 18,090.44 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน8,883.33 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักมาจากรายได้ค่าความพร้อมจ่าย (Availability Payment : AP) ของโรงไฟฟ้าศรีราชา ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ ในขณะที่กำไร ข้ันต้นของโรงไฟฟ้า SPP ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากราคาก๊าซธรรมชาติและ ถ่านหินที่ลดลงตามราคาน้ำมันในตลาดโลก

ประกอบกับค่าบำรุงรักษาที่ปรับตวัลดลงเนื่องจากไม่มีการซ่อมบำรุงเครื่องจักรเช่นในไตรมาสที่ 4 ปี 2562 รวมถึงต้นทุนทางการเงินที่ลดลงภายหลังการปรับปรุงโครงสร้างทางการเงินตามแผนชำระคืนเงินกู้ยืมระยะส้ันเมื่อช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 2562 และไตรมาสที่ 1 ปี 2563 ที่ผ่านมา โดยเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสที่ 1 ปี 2562 กำไรสุทธิส่วนของบริษัทใหญ่ ปรับตัวเพิ่มขึ้นเนื่องจากการรับรู้ผลประกอบการจาก GLOW เต็มไตรมาส (ไตรมาสที่ 1 ปี 2562 มีการรับรู้กำไรจาก GLOW เพียง 18 วัน)

 

อันดับ 6 บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2563 มีกำไรสุทธิ  4,592.00 ล้านบาท เติบโต  61.29% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่  2,846.98 ล้านบาท

โดยผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นเนื่องจากรายได้รวมไตรมาส 1/63 อยู่ที่  11,457.93 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน  8,800.82 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากรายได้อื่นในไตรมาส 1/63 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 3,223.13 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 306.17 ล้านบาท เนื่องจากในระหว่างปี 2563 กลุ่มบริษัทรับรู้กำไรทางบัญชีจากสัญญาเช่าเงินทุนซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขในสัญญาเช่าช่วงทรัพย์สินโครงการศูนย์การค้าของกลุ่มบริษัท

นอกจากนี้ยังประกาศจ่ายปันผลจากงวดดำเนินงานวันที่ 1 ม.ค. 2562 ถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2562 เป็นเงินสด 0.80 บาทต่อหุ้น กำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่  28 พ.ค. 2563 และกำหนดจ่ายเงินปันผล 12 มิ.ย. 2563

 

อันดับ 7 บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1/63 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2563 มีกำไรสุทธิ  6,110.93 ล้านบาท เติบโต  42.80 %  จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่  4,279.41ล้านบาท

โดยผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2563 บริษัทมีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น 10% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อนเป็นผลจากรายได้จากการขายของกิจการต่างประเทศเพิ่มขึ้น 12% และกิจการประเทศไทยเพิ่มขึ้น 6% ส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มขึ้นของธุรกิจการเลี้ยงสัตว์เป็นหลักโดยเฉพาะในเวียดนาม

ขณะที่บริษัทมีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 18% ปรับตัวขึ้นสูงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ปัจจัยหลักมาจากกำไรขั้นต้นของธุรกิจสุกรที่ปรับตัวขึ้้น จากการระบาดของโรค ASF ที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะในเวียดนาม ส่งผลให้ปริมาณสุกรในประเทศเวียดนามลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ราคาเฉลี่ยนสูงขึ้น

 

อันดับ 8 บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม มีกำไรสุทธิ  1,237.34 ล้านบาท เติบโต  23.07%  จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 1,005.36 ล้านบาท

โดยผลการดำเนินงานมีเพิ่มขึ้นเนื่องจากรายได้ดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมในการให้บริการสินเชื่อไตรมาส 1/2563 อยู่ที่ 3,332 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนอยู่ที่ 2,665 ล้านบาท และรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการไตรมาส 1/2563 อยู่ที่ 190  ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนอยู่ที่ 178 ล้านบาท ส่งผลให้รายได้รวมไตรมาส 1/2563 อยู่ที่ 3,540 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนอยู่ที่ 2,858 ล้านบาท

 

อันดับ 9 บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/63 สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.63 มีกำไรสุทธิ  1,032.88 ล้านบาท เติบโต  22.52%  จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 843.05 ล้านบาท

โดยผลการดำเนินงานมีกำไรเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีรายได้ดอกเบี้ย 2,085.47 ล้านบาท เทียบกับรายได้ดอกเบี้ยงวดเดียวกันของปีก่อน 1,657.69 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 427.78 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 25.81% ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตของพอร์ตลูกหนี้ จาก 34,145.51 ล้านบาท ในช่วงสิ้นสุดไตรมาส 1/62 เป็น 40,206.99 ล้านบาท ในช่วงสิ้นสุดไตรมาส 1/63 เพิ่มขึ้น 17.75% ซึ่งการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อมาจากการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องตามนโยบายของกลุ่มบริษัท

อีกทั้งบริษัทมีรายได้อื่น 699.67 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 209.04 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 490.63 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 42.61% ซึ่งการเพิ่มขึ้นดังกล่าวมีผลมาจากการขยายตัวของพอร์ตสินเชื่อ

 

อันดับ 10 บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/63 สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.63 มีกำไรสุทธิ 1,452.06 ล้านบาท เติบโต  19.93%  จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 1,210.72 ล้านบาท

โดยมาจากการรับรู้รายได้จากธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม กำลังการผลิตรวม 664 เมกะวัตต์ โดยในไตรมาส 1/2563 หน่วยการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานลมเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากโครงการหนุมาน โรงไฟฟ้าพลังงานลมขนาด 260 เมกะวัตต์ (MW) ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดชัยภูมิ ที่เริ่มทยอยผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ในช่วงไตรมาส 1-2 ของปีก่อน เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2563 ที่สามารถผลิตไฟฟ้าได้เต็มกำลังตลอดไตรมาส จึงสามารถผลิตไฟฟ้าได้สูงขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 362%

ขณะเดียวกันโครงการหาดกังหัน โรงไฟฟ้าพลังงานลมขนาด 126 เมกะวัตต์ ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดสงขลาและนครศรีธรรมราช สามารถผลิตไฟฟ้าได้สูงขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนถึง 14% จากการที่พื้นที่ดังกล่าวมีกระแสลมแรงตลอดไตรมาสที่ผ่านมา ส่วนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 4 แห่งที่มีกำลังการผลิตรวมกัน 278 เมกะวัตต์สามารถผลิตไฟฟ้าได้ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

นอกจากนี้ รายได้จากธุรกิจไบโอดีเซลมีการเติบโตที่สูงขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 120% เป็นผลมาจากราคาขายน้ำมันไบโอดีเซลที่สูงขึ้นตามราคาน้ำมันปาล์มดิบที่เป็นวัตถุดิบหลักที่ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องมาจากการที่ภาครัฐส่งเสริมการใช้น้ำมัน บี10 เป็นดีเซลพื้นฐานของประเทศตั้งแต่เดือนมกราคมเป็นต้นมา ทำให้เกิดความต้องการเพิ่มขึ้น ประกอบกับต้องมีการปรับคุณสมบัติของ บี100 เพื่อให้นำไปใช้เป็น บี10 ได้ จึงทำให้ราคาขายขยับสูงขึ้น

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button