ผถห.แปลงวอร์ฯคึกคัก SAWAD รับเงินเพิ่มทุน 1.79 พันลบ. หนุนเงินทุนแกร่ง-D/E ต่ำ 1.2 เท่า 

ผถห.แปลงวอร์ฯคึกคัก SAWAD รับเงินเพิ่มทุน 1.79 พันลบ. หนุนเงินทุนแกร่ง-D/E ต่ำ 1.2 เท่า 


นางสาวธิดา แก้วบุตตา ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์องค์กร บริษัทศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD กล่าวว่าบริษัทได้รับเงินเพิ่มทุนจากการใช้สิทธิแปลงสภาพใบสำคัญแสดงสิทธิ์ที่จะซื้อหุ้นสามัญ หรือ วอร์แรนต์ SAWAD-W1 จำนวนกว่า 1,789  ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้กลุ่มศรีสวัสดิ์มีฐานทุนที่แข็งแกร่งขึ้น และตัวเลขสัดส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ลดลงเหลือ 1.2 เท่าจากช่วงสิ้นสุดไตรมาสแรกปี 2563 สัดส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 1.3 เท่า

ขณะที่กลุ่มแก้วบุตตา ได้ใช้เงินกว่า 1.3 พันล้านบาท ในการใช้สิทธิแปลงสภาพวอร์แรนต์ SAWAD-W1 เป็นหุ้นสามัญจำนวน 28.2  ล้านหุ้น

“การที่นักลงทุนทั่วไปและกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ครอบครัวแก้วบุตตา ใช้สิทธิแปลงสภาพวอร์แรนต์ในครั้งนี้  คาดว่ามาจากความเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานของ SAWAD  ส่งผลให้บริษัทมีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่งเพียงพอการขยายธุรกิจในอนาคต ขณะที่D/Eก็ลดลงด้วย“ นางสาวธิดากล่าว

สำหรับใบสำคัญแสดงสิทธิ์ที่จะซื้อหุ้นสามัญหรือ วอร์แรนต์ SAWAD-W1 ได้เปิดให้ใช้สิทธิตั้งแต่วันที่ 14-28 พฤษภาคม 2563  ในอัตราการใช้สิทธิ 1 วอร์แรนต์ ต่อ 1.237 หุ้นสามัญ  โดยราคาในการใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญอยู่ที่ 48.476 บาทต่อหุ้น

ส่วนแนวโน้มการดำเนินธุรกิจในปีนี้ว่า ยังมีอัตราการเติบโตที่ดี โดยตั้งเป้าหมายว่าพอร์ตสินเชื่อจะเติบโตประมาณ 20-30%  แม้ภาพรวมเศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19  แต่บริษัทมองว่าเป็นผลกระทบระยะสั้น ซึ่งบริษัทก็พร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่

โดยบริษัทจะเตรียมเงินทุนเพื่อรองรับการให้บริการสินเชื่อกับลูกค้าเก่าและใหม่ ที่ต้องการเงินด่วนเพื่อนำไปใช้เสริมสภาพคล่องในการกลับมาของธุรกิจ หลังจากที่รัฐบาลผ่อนคลายมาตรการผ่อนปรนระยะที่ 3

ทั้งนี้ในส่วนของสภาพคล่องนั้น บริษัทยังคงมีวงสินเชื่อกับธนาคารพาณิชย์ที่ยังไม่ได้เบิกใช้ประมาณ 5-6 พันล้านบาท นอกจากนี้ยังมีเงินสดที่ได้รับจากการแปลงสภาพวอร์แรนต์ SAWAD- W1 กว่า 1,789 ล้านบาท ขอให้นักลงทุนมั่นใจในความมั่นคงของกลุ่มศรีสวัสดิ์ โดยบริษัทคาดว่าจะนำมาใช้หมุนเวียนในการทำงาน และนำไปขยายกิจการต่อไปตามความเหมาะสม

อย่างไรก็ตามบริษัทประเมินว่าตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล)ในปีนี้ จะยังอยู่ในระดับใกล้เคียงกับของเดิมคือ 4-5 % โดยการตั้งสำรองหนี้เป็นไปตามข้อกำหนดของมาตรฐานบัญชีใหม่ TFRS9   ซึ่งทางฝ่ายบริหารมั่นใจว่าเป็นระดับที่บริษัทสามารถบริหารจัดการได้

 

Back to top button