เปิดโผ 5 หุ้น SET50 ตัวท็อป! วิ่งสวนโควิดสุดแกร่งครึ่งปีแรก 2563

เปิดโผ 5 หุ้น SET50 ตัวท็อป! วิ่งสวนโควิดสุดแกร่งครึ่งปีแรก 2563


ดัชนีตลาดหุ้นไทย SET Index ช่วงครึ่งปีแรก2563 แกว่งตัวผันผวนมากถึง 630 จุด หรือกว่า 40% โดยขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 1,604 จุดเมื่อวันที่ 3 ม.ค. ก่อนปรับตัวลงทำจุดต่ำสุดที่ 969 จุด เมื่อวันที่ 13 มีนาคม นอกจากนี้ ยังได้เห็นการประกาศใช้มาตรการเซอร์กิตเบรกเกอร์ถึง 3 ครั้งในเดือน มี.ค.หลังดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงแรงเพราะเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจทั่วโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19

จากภาวะดังกล่าวทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นพื้นฐานแกร่งจนราคาปรับลงแรงเกินพื้นฐานหลายตัว ดังนั้นทีมข่าวข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์ จึงทำการสำรวจกลุ่มหุ้น SET50  ในช่วงครึ่งปีแรก 2563 มานำเสนอเพื่อให้เห็นทิศทางและเป็นโอกาสเข้าสะสมหุ้นพื้นฐานแกร่งที่ปรับตัวลงแรงเกินพื้นฐาน โดยเทียบข้อมูลราคาหุ้น ณ วันที่ 30 ธ.ค.62-30 มิ.ย.63

ทั้งนี้จากการสำรวจข้อมูลกลุ่ม SET50 ในช่วงครึ่งปีแรกพบว่ามีหุ้น 5 ตัว ที่ปรับตัวสวนภาวะตลาดหุ้นติดลบ นำโดย CBG,CPF,GULF,GLOBAL,BGRIM ตามตารารางประกอบดังนี้

โดยอันดับ 1 บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG ราคาหุ้นครึ่งแรกปี 2563 ปรับตัวขึ้น 23.81% จากระดับ 84.00 บาท   ณ วันที่ 30 ธ.ค.62 มาอยู่ที่ระดับ 104.00 บาท ณ วันที่ 30 มิ.ย.63

บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ประเด็นหุ้นน่าสนใจ Fundamental Pick CBG – เป็นหุ้นที่หาได้ยากที่กำไรปีนี้จะเติบโตสวนกำไรตลาดโดยรวมที่จะหดตัวรุนแรงจากผลกระทบ COVID-19, คาดกำไรปีนี้และปีหน้าจะเติบโต 41% และ 20% ตามลำดับ จากการขยายตลาดส่งออกในกลุ่ม CLMV, การออกสินค้าใหม่ C+Lock ที่ได้รับการตอบรับดี และการขยายกำลังการบรรจุขวด แนะนำ “ซื้อ” เป้าพื้นฐาน 107 บ.

 

อันดับ 2 บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF ราคาหุ้นครึ่งแรกปี 2563 ปรับตัวขึ้น 15.45% จากระดับ 27.50 บาท   ณ วันที่ 30 ธ.ค.62 มาอยู่ที่ระดับ 31.75 บาท ณ วันที่ 30 มิ.ย.63

บล.เครดิต สวิส เปิดเผยในบทวิเคราะห์ ว่า ขณะนี้ได้ปรับเพิ่มราคาเป้าหมายหุ้น บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF มาที่ระดับ 40 บาท จากเดิม 37.50 บาท และคงคำแนะนำ “Outperform”

ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยมองว่า ราคาเนื้อสุกรในประเทศไทยมีพัฒนาการที่ดีขึ้นเป็นลำดับเป็นเวลาสองเดือนติดต่อกัน ซึ่งทาง เครดิต สวิส คาดว่าราคาเนื้อสุกรจะคงในระดับที่ดีตลอดช่วงครึ่งปีหลังนี้ โดยอุปทานที่ตึงตัวในต่างประเทศจากไวรัสโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร โดยเฉพาะเวียดนามที่มีอัตราการบริโภคเนื้อสุกรมากที่สุดในภูมิภาค จะยิ่งส่งผลดีต่อราคาเนื้อสุกรในไทย

นอกจากนั้นแล้ว เวียดนามมีการอนุญาตให้นำเข้าสุกรจากประเทศไทยสำหรับโรงฆ่าสัตว์ และเพาะพันธุ์เป็นครั้งแรก ทั้งนี้ก็เพื่อควบคุมราคาเนื้อสุกรในประเทศ แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีการนำเข้าเนื้อสุกรจากสหรัฐอเมริกา หรือบราซิลตั้งแต่ปีที่แล้วก็ตาม แต่ราคาเนื้อสุกรก็ยังคงอยู่ในระดับสูง ทั้งนี้ เวียดนามเป็นประเทศที่มีความต้องการบริโภคเนื้อสุกรสด

ส่วนเนื้อสุกรที่นำเข้านั้นมักจะนำไปใช้ผลิตอาหารสำเร็จรูป ซึ่งเป็นเด็นนี้เป็นเครื่องบ่งชี้ถึงความตึงตัวของอุปทานในต่างประเทศ โดยสุกรที่นำไปเพาะพันธุ์นั้นต้องใช้เวลาราว 6 เดือนสำหรับเพศเมียที่จะผลิตสุกรตัวใหม่ออกมาได้ ฉะนั้นภาวะการณ์ในเวียดนามนี้จะคงอยู่ไปจนถึงสิ้นปี

ทั้งนี้ ราคาเนื้อสุกรในเวียดนามคาดว่าจะลดลงจากระดับ VND80K-100K/kg มาอยู่ที่ VND70K-80K/kg ซึ่งยังเป็นราคาในระดับที่ CPF จะพึงพอใจ เพราะราคานั้นจะเทียบเท่ากับช่วงไตรมาส 1/63 ที่ผ่านมา ขณะที่ราคานั้นปรับตัวสูงขึ้นจาก VND28K-30K/kg ในไตรมาส 1/62-ไตรมาส 3/62 พร้อมกันนี้ เครดิต สวิส ปรับเพิ่มประมาณการรายได้ของ CPF ขึ้น 2-9% เป็น 5.64 แสนล้านบาทในปี 2563 รวมทั้งมองว่ากำไรในปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 18.1 หมื่นล้านบาท

 

อันดับ 3 บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ราคาหุ้นครึ่งแรกปี 2563 ปรับตัวขึ้น 13.70% จากระดับ 33.20 บาท   ณ วันที่ 30 ธ.ค.62 มาอยู่ที่ระดับ 37.75 บาท ณ วันที่ 30 มิ.ย.63 คาดนักลงทุนเก็งกำไรแผนธุรกิจเด่นและเดินหน้าขยายธุรกิจโรงไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง

ด้านบล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ ซื้อเก็งกำไร” หุ้น GULF ในราคาเป้าพื้นฐาน  41 บาท โดยประเมินแนวรับที่ 34.5 บาท / แนวต้าน 37 – 39 บาท (Stop loss 32 บาท)

โดยฝ่ายวิจัยฯประเมินผลการดำเนินงานไตรมาส 2/63 พลิก Turnaround จากกำไรปกติดีขึ้น / ทรงตัว รวมถึงค่าเงินบาทแข็งค่า ทำให้พลิกกลับมามีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนในไตรมาสนี้ และ Catalyst สั้นๆ อยู่ที่การร่วมเข้าประมูลรถไฟฟ้า MRT สายมีส้มตะวันตกกับกลุ่ม BTS

 

อันดับ 4 บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLOBAL ราคาหุ้นครึ่งแรกปี 2563 ปรับตัวขึ้น 2.47% จากระดับ 16.20 บาท   ณ วันที่ 30 ธ.ค.62 มาอยู่ที่ระดับ 16.60 บาท ณ วันที่ 30 มิ.ย.63

บล. เคจีไอ ระบุว่า กระแสการลงทุนภาครัฐจะช่วยหนุนผลประกอบของ GLOBAL ใน 2H63 ซึ่งจะบรรเทาผลกระทบจากกำไรที่อ่อนแอในไตรมาส 2/63 และทำให้ประมาณการกำไรปี 2564 มี upside ใช้ PER ที่ 34.0X โดยอิงจาก EPS ปี 2564 เพื่อสะท้อนถึงแนวโน้มการเติบโตที่น่าสนใจของกำไร เราขยับไปใช้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2564 ที่ 19.0 บาท จากเดิมที่ 14.60 บาท ทั้งนี้ เนื่องจากยังเหลือ upside อีก 12% และธีมการลงทุนก็ยังเป็นบวก เราจึงปรับเพิ่มคำแนะนำจาก “ถือ” เป็น “ซื้อ”

 

อันดับ 5 บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM ราคาหุ้นครึ่งแรกปี 2563 ปรับตัวขึ้น 1.90% จากระดับ 52.50 บาท   ณ วันที่ 30 ธ.ค.62 มาอยู่ที่ระดับ 53.50 บาท ณ วันที่ 30 มิ.ย.63 เนื่องจากแผนงานโดดเด่นและผลงานสดใสต่อเนื่อง

นางปรียนาถ สุนทรวาทะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM เปิดเผยว่า บริษัทฯ ปรับลดเป้าหมายรายได้ และกำไรปีนี้เหลือทำได้ใกล้เคียงปีก่อน จากเดิมที่คาดรายได้จะเติบโต 10-15% หลังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบกับกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมบางโรงงานชะลอการผลิต ในช่วงเดือนเม.ย.63 แต่อย่างไรก็ตามมองว่าสถานการณ์น่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว เนื่องจากเริ่มเห็นการกลับมาผลิตของลูกค้าได้ตามปกติแล้วในช่วงเดือนพ.ค.นี้

ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังทยอยจ่ายไฟฟ้าให้กับลูกค้าใหม่เข้ามาอีกในช่วงที่เหลือของปีรวม 30 เมกะวัตต์ (MW) ตามสัญญาการซื้อขายไฟฟ้า ซึ่งขณะนี้ได้มีการจ่ายไฟฟ้าไปแล้ว 14 เมกะวัตต์ และจะทยอยจ่ายไฟฟ้าอีก 16 เมกะวัตต์ในครึ่งปีหลัง ขณะเดียวกันในปีนี้บริษัทจะรับรู้รายได้จากการจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) เข้ามาเต็มปีของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ในประเทศเวียดนาม กำลังการผลิต 677 เมกะวัตต์ ซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยหนุนให้รายได้และกำไรปีนี้ทำได้ใกล้เคียงกับปีก่อน หรือเติบโตได้เล็กน้อย จากปีก่อนที่มีรายได้ 4.4 หมื่นล้านบาท

พร้อมกันนี้บริษัทฯ ได้วางงบลงทุน 5 ปี (63-67) ไว้ที่ 7-7.5 หมื่นล้านบาท เพื่อรองรับการลงทุนพัฒนาโครงการในมือ และการเข้าซื้อกิจการ (M&A) โดยหลักยังคงมองโอกาสเข้าลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานลม ประเทศเกาหลีใต้ กำลังการผลิตราว 200 เมกะวัตต์ คาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ภายในปีนี้ รวมถึงยังมองโอกาสของโรงไฟฟ้าพลังงานลม ก๊าซธรรมชาติ และก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ในประเทศเวียดนาม, โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์-ก๊าซธรรมชาติ และ Transmission and Distribution System (T&D) ในประเทศกัมพูชา ส่วนในประเทศมาเลเซีย ปัจจุบัน BGRIM ยังอยู่ระหว่างการเจรจาเข้าซื้อกิจการในโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และก๊าซธรรมชาติ

นอกจากนี้ในประเทศไทย บริษัทก็อยู่ระหว่างการเจรจาเข้าซื้อกิจการโรงไฟฟ้า SPP จำนวน 2-3 แห่ง กำลังการผลิตรวม 300 เมกะวัตต์ โดยปัจจุบันอยู่ในกระบวนการทำ Due diligence คาดว่าน่าจะเห็นความชัดเจนได้ภายในปีนี้

 

ด้าน นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยช่วงครึ่งหลังของปี 63 จะยังคงผันผวนสูงจาก 4 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1.ความไม่แน่นอนของสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ในต่างประเทศ ซึ่งอาจทำให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจล่าช้าออกไป หรือต่ำกว่าที่ประเมินไว้ 2. ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ – จีนที่อาจกลับมาปะทุขึ้น

2.ในช่วงปลายปีนี้มีโอกาสที่บริษัทต่าง ๆ จะผิดนัดชำระหนี้ หรือล้มละลาย หลังจากที่มาตรการช่วยเหลือต่าง ๆ สิ้นสุดลง และ 4. ความผันผวนของราคาน้ำมัน ซึ่งจะมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียนไทย และแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของเงินเฟ้อ ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อความเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ (Bond Yield)

สำหรับธีมหุ้นเด่นที่น่าลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง คือ กลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบน้อยจากโควิด-19 หรือมีความเสี่ยงต่ำหากเกิดการแพร่ระบาดระลอกสอง รวมทั้งมีความปลอดภัยจากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่อาจกลับมาปะทุขึ้นในช่วงก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดี คือ BAM, CBG และ CPALL รวมถึงหุ้นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการดำเนินชีวิตแบบ New Normal แนะนำ TRUE และแนวโน้มการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐที่คาดว่าจะกลับมาเร่งตัวขึ้นเพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ แนะนำ CK และ SCC

ดังนั้น 6 หุ้นเด่นครึ่งปีหลัง คือ BAM, CBG, CK, CPALL, SCC และ TRUE ส่วนหุ้นเด่นเดือนนี้ แนะนำหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการสัญจรที่ฟื้นตัวหลังคลายล็อกดาวน์ เปิดเทอม การกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ คือ BEM และ PTG และหุ้นแนวโน้มกำไรไตรมาส 2/63 ออกมาดี มีเงินปันผลระหว่างกาล แนะนำ CBG, DCC, SCC และ TVO เพราะฉะนั้น หุ้นเด่นที่แนะนำเดือนนี้ คือ BEM, CBG, DCC, PTG, SCC และ TVO

ส่วนแนวรับตลาดหุ้นไทย (SET Index) เดือน ก.ค.แนวรับแรกอยู่ที่ 1,305 จุดและแนวรับถัดไปที่ 1,300, 1,280 จุด และ 1,260 จุด ตามลำดับ ส่วนต้านแรกของหุ้นไทยอยู่ที่ 1,350 จุด และแนวต้านถัดไปที่ 1,380 จุดตามลำดับ

นอกจากนี้ ยังพบประเด็นที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนในหุ้น คือ แนวโน้มการลงทุนในวิถีปกติใหม่ (New Normal) ซึ่งหลังจากนี้ผู้ลงทุนอาจจะต้องยอมรับราคาหุ้นที่แพงขึ้น ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น และคาดหวังผลตอบแทนที่ลดลง เพราะคาดว่าธนาคารกลางทั่วโลกน่าจะใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย ผ่านการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้อยู่ในระดับต่ำมาก และอัดฉีดสภาพคล่องผ่านการผ่อนคลายการเงินเชิงปริมาณ (QE) เพื่อประคับประคองและฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบโควิด-19 ส่งผลให้สินทรัพย์ลงทุนหลักของโลกแพงขึ้นทั้งตลาดตราสารหนี้ และตลาดหุ้น

สำหรับ SET Index ช่วงครึ่งปีแรกของปี 63 แกว่งตัวผันผวนมากถึง 630 จุด หรือกว่า 40% โดยขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 1,604 จุดเมื่อวันที่ 3 ม.ค. ก่อนปรับตัวลงทำจุดต่ำสุดที่ 969 จุดเมื่อวันที่ 13 มีนาคม นอกจากนี้ ยังได้เห็นการประกาศใช้มาตรการเซอร์กิตเบรกเกอร์ถึง 3 ครั้งในเดือน มี.ค.หลังดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงแรงเพราะเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจทั่วโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button