คัด 8 หุ้นเด่นน่าเก็บ! ลุ้นโชว์งบฯ Q2 โตแกร่ง-มีปันผลจ่ายระหว่างกาล

คัด 8 หุ้นเด่นน่าเก็บ! ลุ้นโชว์งบฯ Q2 โตแกร่ง-มีปันผลจ่ายระหว่างกาล


ทิศทางการลงทุนสัปดาห์นี้ยังขาดปัจจัยบวกใหม่ และนักลงทุนยังติดตามสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่มีท่าทีรุนแรงขึ้น ส่วนปัจจัยในประเทศเริ่มเข้าช่วงทยอยประกาศผลประกอบการ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังเน้นให้เลือกเก็งกำไรหุ้นที่คาดว่าจะมีผลประกอบการไตรมาส 2/63 แข็งแกร่ง และมีปันผลจ่ายระหว่างกาล

ดังนั้นทีมข่าว “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงทำการรวบรวมข้อมูลกลุ่มหุ้นดังกล่าวมานำเสเนอ โดยอาศัยบทวิเคราะห์ บล.ทิสโก้ และ บล.ฟินันเซีย ไซรัส อาทิ DCC,BCH,CPF,SCC,SMPC,TASCO,TU,TVO ซึ่งระบุเอาไว้ดังนี้

บล.ทิสโก้ ระบุว่า กลยุทธ์การลงทุนโดยยังคงมุมมองการเก็งกำไรช่วงนี้เหมาะสำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงสูงได้เท่านั้น โดยมีกรอบล่างบริเวณ 1340 (หลุดบริเวณนี้จะเป็นสัญญาณเตือนที่ไม่ดี) และ 1325 (แนะใช้เป็นจุด Stop) ตามลำดับ ขณะที่กรอบบนอยู่ที่แถว 1380-90 (ผ่าน 1390 ได้ในราคาปิด ค่อยเล็งเป้าถัดไป 1420, 1450 ตามลำดับ) โดยกลุ่มหุ้นน่าลงทุนแนะนำ หุ้นคาดว่างบจะออกมาดี และมีปันผลจ่ายระหว่างกาล อาทิ DCC, BCH, CPF,SCC,SMPC,TASCO, TU,TVO ดังนี้

DCC – คาดกำไรไตรมาส 2/63 โตก้าวกระโดด ที่ 412 ล้านบาท +98.9% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน, +12.3% เทียบไตรมาสก่อนหน้า จากยอดขายที่แข็งแกร่งจากความต้องการปรับปรุงที่อยู่อาศัย และมาร์จิ้นที่เพิ่มขึ้นจากต้นทุนพลังงานที่ลดลง เราปรับประมาณการกำไรปี 20-22F ขึ้น 20%, 17% และ 15% ตามลำดับจากแนวโน้มยอดขายและมาร์จิ้นที่ดีกว่าคาด และฐานะการเงินแข็งแกร่ง-ปันผลดี คาดจ่ายปันผลสำหรับไตรมาส 2/63 ที่ 0.038 บ./หุ้น, ปรับเป้าพื้นฐานจากปีนี้ที่ 2.4 บ. เป็นปีหน้าที่ 2.84 บ.

 

CPF – มองเป็นหุ้นที่ต้านทานความไม่แน่นอนจากปัจจัยภายนอกได้ดี ทั้งสถานการณ์ความตึงเครียดสหรัฐฯ-จีน และการแพร่ระบาด COVID-19 ในตปท., คาดแนวโน้มกำไรไตรมาส 2/63 อยู่ที่ 6.02 พันล้านบาท +46% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และทรงตัวได้เทียบไตรมาสก่อนหน้า แม้เป็นช่วงได้รับผลกระทบหนักสุดจากการล็อกดาวน์ก็ตาม อานิสงส์ราคาหมูในเวียดนามที่เพิ่มขึ้นเท่าตัว และมาร์จิ้นที่คาดจะดีขึ้นจากต้นทุนอาหารสัตว์ปรับตัวลง, ปันผลน่าพอใจ 3-4% ต่อปี,เป้าพื้นฐาน 40 บ.

 

SCC – มองความผันผวนของตลาดเป็นจังหวะดีในการทยอยสะสมหุ้น SCC คาดกำไรไตรมาส 2/63 จะออกมาแข็งแกร่ง +17% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และ +18% เทียบไตรมาสก่อนหน้า มาอยู่ที่ 8.2 พันล้านบาท หลัก ๆ มาจากการขับเคลื่อนของธุรกิจปิโตรเคมี จากมาร์จิ้นและปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น, แนวโน้มครึ่งปีหลัง คาดจะได้แรงหนุนจากธุรกิจบรรจุภัณฑ์, ปูนซีเมนต์ และวัสดุก่อสร้างที่มีแนวโน้มฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลังจากการทยอยคลายล็อกดาวน์ และการเร่งโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐ, เป้าพื้นฐาน 426 บ.

โดยล่าสุด SCC รายงานผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 2/63 มีกำไรสุทธิ 9,383.86 ล้านบาท โต 33% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 7,043.16 ล้านบาท โดยเป็นผลมาจากการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และการจัดการการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ นอกจากนี้บริษัทประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาลจากงวดดำเนินงานวันที่ 1 ม.ค. 2563 ถึงวันที่ 30 มิ.ย. 2563 เป็นเงินสด 5.50 บาทต่อหุ้น ขึ้น XD วันที่ 13 ส.ค. 2563และกำหนดจ่าย 28 ส.ค. 2563

 

TVO – คาดกำไรปกติไตรมาส 2/63 อยู่ที่ 488 ล้านบาท +77% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน, +9% เทียบไตรมาสก่อนหน้า (ส่วนกำไรสุทธิคาดอยู่ที่ 518 ล้านบาท +85% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน, +5% เทียบไตรมาสก่อนหน้า) หลัก ๆ จากต้นทุนนำเข้าราคาถั่วเหลืองที่ปรับตัวลงและธุรกิจอาหารสัตว์มีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น, แนวโน้มราคาหมูและไก่ที่ยังคงแข็งแกร่งคาดจะช่วยหนุนความต้องการอาหารสัตว์และผลประกอบการในช่วงที่เหลือของปีนี้สดใส, ปันผลดี 6% ต่อปี คาดจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.79 บ./หุ้น, ปรับเป้าพื้นฐานเป็นปีหน้าที่ 32.25 บ.

 

TASCO – มองผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วที่ขาดทุน 796 ล้านบาท ในไตรมาส 1/63 คาดพลิกมีกำไรไตรมาส 2/63 ที่ 1.5-1.8 พันล้านบาท จากยอดขายที่ฟื้นตัวทั้งตลาดในประเทศและตลาดส่งออกไปจีน หลังมีงบประมาณปี FY2020 และการขนส่งไปจีนกลับมาเป็นปกติ ขณะที่ราคายางมะตอยปรับเพิ่มขึ้นด้วยจาก 170 $/ตัน เป็น 315 $/ตัน, ได้ประโยชน์จากการเร่งโครงการลงทุนภาครัฐเพื่อฟื้นฟูศก.ในช่วงครึ่งปีหลัง, ปรับเป้าพื้นฐานเป็นปีหน้าที่ 32 บ.

 

SMPC – จากมูลค่าการส่งออกถังแก๊สปิโตรเลียมเหลวของไทยเดือน เม.ย. ที่เพิ่มขึ้น 24% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 9% MoM ซึ่งดีกว่าที่เราคาดไว้ เราจึงปรับประมาณการกำไรปี 20-21F ขึ้นประมาณปีละ 21% เพื่อลดสมมติฐานที่ความเข้มงวดลง ส่งผลให้กำไรคาดว่าจะเติบโต 30% และ 18% เป็น 489 ล้านบาท และ 576 ล้านบาทตามลำดับ, เป้าพื้นฐานใหม่ปรับขึ้นเป็น 11 บ. คิดเป็น PER 12 เท่า ซึ่งอิงมาจากค่าเฉลี่ย 5 ปีในอดีต, มีปันผล 7% ต่อปี  

 

บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า คาด SET Index จะแกว่งตัว Sideways to Sideways Down ในกรอบ 1,330-1,350 จุด บรรยากาศการลงทุนในภาพรวมยังขาดปัจจัยบวกใหม่ นักลงทุนยังติดตามสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่มีท่าทีรุนแรงขึ้นหลังตอบโต้ประเด็นการปิดสถานกงสุลของฝั่งตรงข้าม

ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ของสหรัฐฯยังไม่คืบหน้าหลังวุฒิสภาของทั้ง 2 พรรคยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในรายละเอียด ส่วนปัจจัยในประเทศเริ่มเข้าช่วงทยอยประกาศผลประกอบการ โดยรวมระยะสั้นจึงยังเน้นให้เลือกเก็งกำไรหุ้นที่คาดว่าจะมีผลประกอบการไตรมาส 2/63 แข็งแกร่ง  AP BCH CBG CPF DRT ICHI MTC PRM SC SMT STGT TACC XO

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button