APURE พุ่งชนซิลลิ่ง-นิวไฮรอบกว่า 2 ปี คาดเก็งกำไรหุ้นขนาดกลาง-เล็ก Valuation ถูก

APURE พุ่งชนซิลลิ่ง-นิวไฮรอบกว่า 2 ปี คาดเก็งกำไรหุ้นขนาดกลาง-เล็ก Valuation ถูก


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท อกริเพียว โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ APURE  ณ เวลา 15.43 น. อยู่ที่ 2.32 บาท บวก 0.30 บาท หรือ 14.85% สูงสุดที่ 2.54 บาท ต่ำสุดที่ 2.30 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 35.65 ล้านบาท ราคาหุ้นพุ่งชนซิลลิ่งของวันที่ระดับ 2.32 บาท  ราคาหุ้นนิวไฮในรอบ

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ เปิดเผยทิศทางการลงทุนเดือนสิงหาคม 2563 ว่า ดัชนีหุ้นไทยเริ่มอยู่ในระดับที่สมดุลมากขึ้น หลังปรับตัวลงมาช่วงปลายเดือนก.ค. จนล่าสุดอยู่ในบริเวณกึ่งกลางของกรอบที่ให้ไว้ประจำเดือนนี้ กล่าวคือ มีกรอบแนวต้านที่ระดับ 1,360 จุด อิง P/E ล่วงหน้าที่ 16.8 เท่า และ EPS ของตลาดปีหน้าที่ 81 บาท ขณะที่มีแนวรับที่ 1,270 จุด อิง P/E ล่วงหน้าที่ 15.7 เท่า หากดัชนีหลุดระดับ 1,300 จุดลงมา ถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการทยอยเพิ่มน้ำหนักหุ้นรอบใหม่ หลังแนะนำให้ชะลอการลงทุนมาตลอดช่วงที่ผ่านมา

สำหรับหุ้นที่สามารถเข้าลงทุน ทรีนีตี้ ยังคงแนะนำหุ้นขนาดกลางและเล็ก เพราะเป็นหุ้นที่มีอัตราการเติบโตของกำไรดีกว่าหุ้นขนาดใหญ่ โดยในปีหน้านักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าหุ้นเหล่านี้จะมีอัตราการเติบโตของกำไรสูงถึง 50-60% เทียบกับอัตราการเติบโตของกำไรของหุ้นขนาดใหญ่ที่อยู่เพียง 20% เท่านั้น ขณะที่ P/E ล่วงหน้ายังคงอยู่ในระดับต่ำเพียง 14 เท่า เทียบกับหุ้นใหญ่ที่อยู่ที่ 17 เท่า สะท้อนให้เห็นว่าหุ้นขนาดกลาง-เล็กยังน่าลงทุน แม้ราคาหุ้นจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมาแล้วก็ตาม

ส่วนธีมการลงทุนเดือน ส.ค.แนะนำลงทุนในขนาดกลาง-เล็ก 6 กลุ่ม ดังนี้ 1. กลุ่มบริหารหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน ได้แก่ JMT และ CHAYO 2. กลุ่มเกษตรและอาหาร ได้แก่ TFG, ASIAN, APURE, SUN, XO 3. กลุ่มปั๊มน้ำมัน ได้แก่ PTG 4. กลุ่มแพ็คเกจจิ้ง ได้แก่ SFLEX, PTL 5. กลุ่มโรงไฟฟ้าขนาดเล็กที่มีการเติบโตดี ได้แก่ TPCH, SSP และ 6. กลุ่มหุ้นขนาดกลาง-เล็กอื่นที่ยังมี Valuation ถูก เมื่อเทียบกับการเติบโตที่รออยู่ ได้แก่  ILINK, PRM, SMPC

ด้านปัจจัยเสี่ยงที่จะต้องติดตามในเดือน ส.ค.ซึ่งจะมีผลต่อการลงทุนได้ นั่นก็คือความเสี่ยงที่ประเทศไทยจะถูกประกาศขึ้นบัญชีดำจากสหรัฐอเมริกาเรื่องแทรกแซงค่าเงินหรือไม่ หลังจากที่ไทยได้เข้าข่ายทั้ง 3 เกณฑ์ที่สหรัฐฯตั้งไว้แล้ว โดยหากสหรัฐฯไม่นำไทยเข้าสู่รายชื่อดังกล่าวหรือยังให้เวลาไทยในการแก้ตัวเพื่อหลุดจากเกณฑ์ที่กำหนด ก็น่าจะทำให้นักลงทุนลดความกังวลไปได้ส่วนหนึ่ง แต่ในทางกลับกัน หากไทยเข้าสู่บัญชีดำและนำมาสู่มาตรการกีดกันการค้าของสหรัฐฯในช่วงถัดไป จะกระทบกับภาคการส่งออกของไทยได้ โดยเฉพาะกับสินค้าที่ไทยไม่ได้มีความได้เปรียบ หรือเป็นสินค้าที่สหรัฐฯมีทางเลือกในการนำเข้าจากประเทศอื่นทดแทนได้

นอกจากนี้ยังต้องจับตาตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯที่อาจรายงานออกมาอ่อนตัวในเดือนนี้ โดยเฉพาะตัวเลขการจ้างงาน หลังเริ่มได้รับผลกระทบจากการระบาดโควิด-19 รอบสอง ซึ่งอาจทำให้นักลงทุนในตลาดมีความกังวลใจต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอยู่บ้าง อย่างไรก็ดี เชื่อว่าหากตัวเลขออกมาแย่ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ก็น่าจะพร้อมที่จะอัดฉีดสภาพคล่องเพิ่มเติมได้ หลังจากช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาเฟดได้มีการเก็บกระสุนผ่านการลดขนาดงบดุล (Balance sheet) มาโดยตลอด

ส่วนประเด็นสุดท้ายซึ่งถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่มีโอกาสเกิดขึ้นน้อย แต่หากเกิดขึ้นจะมีผลกระทบรุนแรงนั่นก็คือ การระบาดของโควิด-19 รอบสองภายในประเทศ ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง คาดว่า SET Index จะถูกกดดันจากแรงขาย Panic sell ในช่วงแรก คล้าย ๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตลาดหุ้นเวียดนามในช่วงปลายเดือนก.ค.ที่ผ่านมา

Back to top button