NER ปิดบวก 12% ทุบสถิติใหม่ ลุ้นไตรมาส 3 โตแกร่ง-ออเดอร์ทะลัก!

NER ปิดบวก 12% ทุบสถิติใหม่ ฟากผลงานแกร่ง-ออเดอร์ทะลัก!


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ปิดตลาดวันนี้อยู่ที่ระดับ 4.84 บาท บวก 0.52 บาท หรือ 12.04% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 2.78 พันล้านบาท ทำจุดสูงสุดนับตั้งแต่เข้าตลาดฯเมื่อวันที่ 7 พ.ย. 2561

ด้าน บล.คิงส์ฟอร์ด ระบุในบทวิเคราะห์ว่า กลุ่มยางพารา อ้างอิงจากการรายงานของ กยท. ราคายางในประเทศเฉลี่ยยังอยู่ที่สูงกว่า 60 บาท/กิโลกรัม ขณะที่ราคาในตลาดต่างประเทศ TOCOM / SICOM มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น จากความต้องการใช้ยางในประเทศตามนโยบายของรัฐบาล บวกกระแสความต้องการใช้ยางของโลกเพิ่มขึ้น สะท้อนจากตัวเลขดัชนี PMI ภาคการผลิตของจีนที่ขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ฟื้นตัวเร็ว ตัวเลขในเดือนกันยายนที่ผ่านมายอดขายรถยนต์ในประเทศจีนปรับเพิ่มขึ้นกว่า 13% คิดเป็นจำนวนรถยนต์ประมาณ 2.57 ล้านคัน รวมถึงการนำไปผลิตถุงมือเนื่องจากสถานการณ์แพร่ระบาดของ COVID-19 รอบ 2 หลายแห่งทั่วโลก โดยหุ้นที่ได้ประโยชน์ STA NER (ผลิตยางแผ่น ยางก้อน) TRUBB (น้ำยางข้นธรรมชาติ 60%)

ด้าน บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่าคาดกำไรปกติไตรมาส 3/63 จะทำสถิติสูงสุดใหม่ คาดว่า NER จะรายงานกำไรปกติไตรมาส 3/63 ที่ 219 ล้านบาท (+59% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน, +37% เทียบไตรมาสก่อนหน้า) (ไม่รวมการตั้งสำรองจากไฟไหม้โกดังประมาณ 30 ล้านบาท)

โดยการเติบโตเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจาก ธุรกิจยางธรรมชาติได้ผลดีจากต้นทุนที่อ่อนตัวลง ผู้ประกอบการหลายรายออกจากอุตสาหกรรมไป  ทำให้ภาวะการแข่งขันแย่งซื้อวัตถุดิบยางธรรมชาติลดน้อยลงไปในปีนี้ แม้ราคาเฉลี่ยจะลดลงมา 5%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่ประมาณ 35 บาท แต่ปริมาณขายคาดว่าจะเพิ่มขึ้น +57% (YoY) จากความต้องการฟื้นตัวหลังผลกระทบจาก COVID-19 คลายตัวลง

ขณะที่การเพิ่มขึ้น เทียบไตรมาสก่อนหน้า เป็นผลจากปริมาณขายเพิ่มขึ้นเป็นหลัก โดยปริมาณขายในไตรมาส3/63อยู่ที่ใกล้เคียง 100,000 ตัน (+57%YoY, +61% เทียบไตรมาสก่อนหน้า) เนื่องจากความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นจากลูกค้าล้อยางกลับมาเดินการผลิต ถึงแม้ราคาขายจะลดลงในไตรมาสนี้เนื่องจากราคาที่ขายเป็นราคาที่ตกลงล่วงหน้า SICOM ในช่วงพ.ค.-มิ.ย.ที่ราคายางค่อนข้างต่ำที่ 35-38 ต่อกก.  ส่งผลให้ยอดขายอยู่ที่ 4 พันล้านบาท +29%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน, +46% เทียบไตรมาสก่อนหน้า

อย่างไรก็ตามบริษัทมีการตั้งสำรองผลกระทบจากไฟไหม้โรงงานประมาณ 30 ล้านบาท (คาดว่าจะเป็นส่วนของอาคาร 24 ล้านบาท และ วัตถุดิบ 6 ล้านบาท) ส่งผลให้กำไรสุทธิอยู่ที่ 189 ล้านบาท +28%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน, -16% เทียบไตรมาสก่อนหน้า

ทั้งนี้การปรับกำไรสุทธิปี 2563-2564 ขึ้น 21%/10% ตามลำดับ  รับประมาณการปี2563ขึ้น 21% มาอยู่ที่ 853 ล้านบาท(+58%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) เนื่องจากครึ่งปีหลังแนวโน้มราคายางปรับตัวดีขึ้นจากความต้องการจากลูกค้ายางรถยนต์ในจีนกลับมาเดินการผลิตในระดับ 70-80% รวมถึงอุปทานที่ตึงตัวเพราะความต้องการถุงมือยางด้วย เราจึงปรับราคายางแท่งจากเดิมที่ 42 บาทต่อกก. มาเป็น 43 บาทต่อกก. อีกทั้งกำลังการผลิตของโรงงานใหม่จะเพิ่มขึ้นจากเดิม 60%  ( 2.92 แสนตัน/ปี เป็น 4.65 แสนต้น/ปี  เพิ่มขึ้น 1.72 แสนต้นต่อปี)

ทั้งนี้ไตรมาส 3/63 จะใช้กำลังการผลิตโรงงานใหม่ 70% และการเพิ่มกำลังการผลิตในครั้งนี้จำนวนคนงานไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก ต้นทุนจึงไม่เพิ่มตามกำไร ทำให้ margin จะเพิ่มขึ้น จึงปรับ gross margin จากเดิมที่ 10.5% เป็น 11.5%

ขณะที่ในปี 2564 กำไรสุทธิปรับเพิ่มจากเดิม 10% มาที่ 1.08 พันล้านบาท (+15%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) เราปรับราคายางแท่งขึ้นเป็น 43 บาทต่อกก. และปรับอัตรากำไรขึ้นเป็น 11.8% จากเดิมที่ 11% เนื่องจากจะรับรู้ economies of scales จากกำลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มขึ้นเต็มปี

ทั้งนี้ปรับราคาเป้าหมายที่ 5.0 บาท ปรับเพิ่มจากเดิมที่ 4.1 บาท ยังคงอิง2563PER ที่ 9x (+1SD ค่าเฉลี่ยย้อนหลังจากเข้าตลาด) โดยมี key catalyst คือ บริษัทยังมีเติบโตต่อเนื่องจากการขยายกำลังผลิต รวมถึงโรงงานของลูกค้าในจีนเริ่มกลับมาเดินการผลิต ขณะที่ความเสี่ยงคือ การฟื้นตัวจาก COVID-19 ล่าช้ากว่าที่คาดไว้

Back to top button