เปิด 30 รายชื่อหุ้น SET รูดหนักเซ่นพิษโควิด! 10 เดือนนักลงทุนเจ๊งเกิน 40%

เปิด 30 รายชื่อหุ้น SET รูดหนักเซ่นพิษโควิด! 10 เดือนนักลงทุนเจ๊งเกิน 40%


ดัชนีตลาดหุ้นไทย SET Index ในช่วงช่วง 10 เดือนแรกปี 2563 ยังอยู่ในช่วงขาลงโดยเห็นได้จากดัชนียืนที่ระดับ 1579.84  จุด (ณ 30 ธ.ค.62) มาอยู่ที่ระดับ 1194.95 จุด (ณ 30 ต.ค.61) ลดลง 384.89 จุด หรือลดลง 34.36%

โดยในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมาภาวะตลาดหุ้นมีปัจจัยลบเข้ามากดดันอย่างหนัก โดยเฉพาะภาวะสงครามการค้าจีน-สหรัฐ จนส่งผลให้ตลาดนำมาตรการเซอร์กิตเบรกเกอร์ออกมาใช้ถึง 3 ครั้งในเดือน มี.ค.ขณะเดียวกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ฉุดให้เศรษฐกิจไทยชะลอตัวอย่างหนักจนถึงปัจจุบัน

จากภาวะดังกล่าวนักลงทุนได้เทขายหุ้นอย่างหนักเพื่อลดความเสี่ยงในธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ อาทิ หุ้นสายการบิน,โรงแรม,พลังงาน,ธนาคาร ดังนั้นทีมข่าว “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงทำการสำรวจกลุ่มหุ้น SET  ที่ราคาปรับตัวลงแรงในรอบ 10 เดือนมานำเสนอเพื่อให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นได้อย่างชัดเจนมากขึ้น   

โดยหุ้นที่คัดเลือกมามีทั้ง 30 ตัวโดยส่วนใหญ่ราคาปรับตัวลงแรงเกิน 40% โดยเทียบข้อมูลราคาปิด ณ วันที่ 30 ธ.ค.62-30 ต.ค.63 อย่างไรก็คามจะขอเลือกนำเสนอข้อมูลประกอบให้นักลงทุนเพียง 3 อันดับแรกของประกอบดังนี้

อันดับ 1 บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOK โดยราคาหุ้นในช่วง 10 เดือนปี 2563 ปรับตัวลดลง 71.50% จากระดับ 9.75 บาท ณ วันที่ 30 ธ.ค.62 มาอยู่ที่ระดับ 2.82 บาท ณ วันที่ 30 ต.ค.63 ราคาหุ้นอ่อนตัวจากภาพรวมอุตสาหกรรมการบินรับผลกระทบอย่างหนักจากการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ประกอบกับผลการดำเนินบริษัทประสบผลขาดทุนเรื้อรั้งตั้งแต่ปี 2559 ส่งผลให้นักลงทุนเทขายหุ้นออกมาอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตามจากผลประกอบการธุรกิจขาดทุนเรื้อรั้งทำให้บริษัทต้องยื่นคำร้องเพื่อขอฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลางไว้เพื่อพิจารณาเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2563 และครั้งนี้ไม่มีผู้ใดออกมาคัดค้านการยืนดังกล่าว และเมื่อวันที่ 4 พ.ย.63  ศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งให้บริษัทเข้าฟื้นฟูกิจการ และแต่งตั้งบริษัทแกรนท์ ธอนตัน สเปเชียลิสท์ แอ๊ดไวซอรี่ เซอร์วิสเซส จำกัด ร่วมกับนายปริญญา ไววัฒนา, นายไต้ ชอง อี, นายเกษมสันต์ วีระกุล, นายวุฒิภูมิ จุฬางกูร และ นายชวลิต อัตถศาสตร์ เป็นผู้ทำแผน

ทั้งนี้ NOK ได้ยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลาง เพราะมีหนี้สิน 2.6 หมื่นล้านบาท มากกว่าทรัพย์สินที่มีอยู่ 2.3 หมื่นล้านบาท โดยหนี้สินส่วนใหญ่เป็นค่าเช่าเครื่องบิน ซึ่งมีเจ้าหนี้กว่า 10 ราย จากนี้ไปก็ต้องมาลุ้นกันว่า NOK จะพลิกฟื้นธุรกิจได้ในเร็ววันหรือไม่

ด้าน บล.เคจีไอ ระบุว่า กลุ่มสายการบิน น้ำหนักลงทุน “เท่ากับตลาดฯ” ฝ่ายวิจัยฯยังคงน้ำหนักลงทุนในกลุ่มฯเท่ากับตลาดฯตามเดิม เราคาดว่ารายได้ของสายการบินต่างๆ ในครึ่งปีหลัง 2563 จะยังคงต่ำอยู่และผลประกอบการรายไตรมาสยังคงอ่อนแอ และคาดว่าจะยังคงไม่ฟื้นตัวในปี 2563-64 เพราะยังไม่เห็นกรอบเวลาที่ชัดเจนที่ประเทศไทยจะกลับมาเปิดให้บริการเที่ยวบินระหว่างประเทศตามปกติได้จนถึงสิ้นปีนี้

ยังคงมีมุมมองลบกับหุ้นกลุ่มนี้ แต่อย่างไรก็ตาม คาดว่า AAV และ BA จะรอดจากวิกฤตรอบนี้ได้เพราะดูแข็งแกร่งมากกว่า THAI และ NOK และคาดว่าสายการบินต่างๆ จะกลับเข้าสู่สภาวะปกติในปี 2566

 

อันดับ 2 คือ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) หรือ MCOT โดยราคาหุ้นในช่วง 10 เดือนปี 2563 ปรับตัวลดลง 71.08% จากระดับ 9.75 บาท ณ วันที่ 30 ธ.ค.62 มาอยู่ที่ระดับ 2.82 บาท ณ วันที่ 30 ต.ค.63 ราคาหุ้นอ่อนตัวเนื่องจาก ภาพรวมของอุตสาหกรรมสื่อในปัจจุบันโดยเฉพาะสื่อดั้งเดิมมีอัตราการเติบโตของรายได้ที่ลดน้อยลง

ซึ่งเป็นผลมาจาก Disruptive technology  และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่หันมาใช้สื่อออนไลน์มากขึ้น  ทำให้รายได้จากธุรกิจโทรทัศน์และวิทยุของ อสมท ลดลง และทำให้ผลประกอบการบริษัทมีผลการดำเนินงานขาดทุนตั้งแต่ปี 59 เป็นต้นมา ตรงนี้คาดเป็นปัจจัยให้นักลงทุนทยอยขายหุ้นออกมาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ผลประกอบการงวด 9 เดือน ปี 2563  บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ 1.16 พันล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไร 117.96 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามในปลายปี 63  อสมท ได้เตรียมปรับโครงสร้างองค์กรและกระบวนการทำงานให้มีความคล่องตัว สามารถรองรับการดำเนินธุรกิจในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยทิศทางการดำเนินงานของ อสมท ในปี 64 จะมุ่งปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจเดิม เพื่อรักษารายได้และเรตติ้ง และสร้างแหล่งรายได้ใหม่เพื่อการเติบโต เช่น การบริหารสินทรัพย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด  เช่น ที่ดินย่านรัชดา-พระราม 9  รวมทั้งเดินหน้าพัฒนาโครงการธุรกิจดิจิทัลให้มีผลกำไร

 

อันดับ 3 บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW  โดยราคาหุ้นในช่วง 10 เดือนปี 2563 ปรับตัวลดลง 62% จากระดับ5.95 บาท ณ วันที่ 30 ธ.ค.62 มาอยู่ที่ระดับ 2.26 บาท ณ วันที่ 30 ต.ค.63 ราคาหุ้นอ่อนตัวเนื่องจาก ภาพรวมของอุตสาหกรรมโรงแรม ซึ่งเป็นอีกธุรกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 โดยเห็นได้จากภาพรวมผลประกอบการงวด 9 เดือน ปี 2563  พลิกขาดทุนสุทธิ 1,241.55 พันล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 269.95 ล้านบาท

บล.ดีบีเอสฯ แนะนำ “ซื้อ” ERW  ราคาเป้าหมาย 3.30 บาท/หุ้น คาดภาพการฟื้นตัวจะยังปรากฏให้เห็นในงวดไตรมาส4/2563 ได้อย่างต่อเนื่อง แม้ยังจะขาดทุน แต่ก็เป็นขาดทุนที่ลดลง คาดว่าตลอดปีนี้เป็นขาดทุน 1.2 พันล้านบาท และปี 64 จะขาดทุนลดลงเป็น 111 ล้านบาท

คำแนะนำ ซื้อ ราคาพื้นฐาน 3.30 บาท ซึ่งประเมินด้วยวิธี DCF คาดว่าระยะยาวได้ประโยชน์ จากภาวะท่องเที่ยวไทยฟื้นตัว ขณะที่บริษัทเน้นโรงแรมในประเทศ ประเมินว่าราคาหุ้นปรับลงมามากเกินไป ขณะนี้ซื้อขายด้วย -1.2 SD จากค่าเฉลี่ย P/BV 5 ปีย้อนหลัง ราคาพื้นฐานยังให้ส่วนเพิ่มได้ราว 11% จากราคาปิด

ด้าน บล.คิงส์ฟอร์ด ระบุว่าความคืบหน้าการพัฒนาวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัส COVID-19 ของบริษัท Moderna ที่ให้ผลการทดสอบที่ดี ส่งผลบวกต่อ Sentiment เก็งกำไรหุ้นกลุ่ม Cyclical ตามความคาดหวังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ดังนั้นเก็งกำไร กลุ่มท่องเที่ยว โรงแรม สายการบิน MINT, ERW, CENTEL, AAV

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button