เปิดโผ 9 หุ้น SET50 วิ่งแรงรอบ 11 เดือน! พร้อมดักเก็บ “บลูชิพ” ขึ้นช้ากว่าตลาดฯ-ต่ำบุ๊ก

เปิดโผ 9 หุ้น SET50 วิ่งแรงรอบ 11 เดือน! พร้อมดักเก็บ “บลูชิพ” ขึ้นช้ากว่าตลาดฯ-ต่ำบุ๊ก


แม้ว่าดัชนีตลาดหุ้นไทย SET Index ในช่วง 11 เดือนปี 2563 ยังอยู่ในช่วงขาลงโดยเห็นได้จากดัชนียืนที่ระดับ 1579.84  จุด (ณ 30 ธ.ค.62) มาอยู่ที่ระดับ 1408.31 จุด (ณ 30 พ.ย.63) ลดลง 171.53 จุด หรือลดลง 10.85%

เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาภาวะตลาดมีปัจจัยลบกดดันหนัก ส่งผลให้มีการใช้มาตรการเซอร์กิตเบรกเกอร์ถึง 3 ครั้งในเดือน มี.ค.หลังดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงแรงเพราะเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจทั่วโลกรับผลกระทบจากสงครามการค้าสหรัฐจีน และจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 จนถึงปัจจุบัน

อย่างไรก็ตามภาวะตลาดหุ้นไทยในช่วงเดือนพฤศจิกายนเพียงเดือนเดียวดัชนีบวกไปถึง 200 จุด โดยเทียบจากดัชนียืนที่ระดับ 1,194.95  จุด ณ 30 ต.ค.63 มาอยู่ที่ระดับ 1408.31 จุด ณ 30 พ.ย.63 หรือเพิ่มขึ้น 18% เนื่องจากผลการเลือกตั้งสหรัฐฯชัดเจน และผลการทดสอบวัคซีน COVID-19 ระยะที่ 3 ที่ออกมาในเชิงบวก ทำให้ยังมีคาดหวังว่าการค้าโลก และการเดินทางระหว่างประเทศจะทยอยกลับสู่ภาวะปกติในปีหน้า ช่วยหนุนกระแสเงินทุนให้ไหลเข้าต่อเนื่อง

จากภาวะดังกล่าวทีมข่าว “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงทำการสำรวจราคาหุ้นกลุ่ม SET50  ในช่วง 11 เดือนมานำเสนอ เพื่อให้เห็นทิศทางราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมาอย่างชัดเจน อีกทั้งเพื่อเป็นโอกาสให้นักลงทุนได้เข้าสะสมหุ้นพื้นฐานแกร่งที่ราคายังปรับตัวขึ้นน้อยกว่าตลาดฯ โดยครั้งนี้เทียบข้อมูลราคาหุ้น ณ วันที่ 30 ธ.ค.62-30 พ.ย.63

โดยจากการสำรวจราคาหุ้น SET50 ในช่วงดังกล่าวพบว่ามีหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียง 9 ตัว คือ  CBG,KTC,SCGP,TU, GLOBAL,GULF,CPF,EA และPTTGC ส่วนที่เหลืออีก 41 ตัว ราคาปรับตัวลดลง และยังพบว่ามี 8 หุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าหุ้นตามบัญชี ได้แก่ BBL,KBANK,SCB,KTB,TOP,PTTGC,TMB,IRPC จึงนำมาเสนอตามตารารางประกอบดังนี้

ส่วนหุ้นที่ราคาปรับตัวขึ้นแรงอันดับ 1 คือ บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG ราคาหุ้นในช่วง 11 เดือนแรกปี 2563 ปรับตัวขึ้น 36.50% จากระดับ 84.00 บาท ณ วันที่ 30 ธ.ค.62 มาอยู่ที่ระดับ 120.50 บาท ณ วันที่ 30 พ.ย.63 คาดราคาหุ้นปรับตัวแรงเนื่องจากนักวิเคราะห์มองว่าผลงานปี 2563 เติบโตเด่น

บล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า CBG  ( ซื้อ /เป้า 145) คาดกำไรสุทธิไตรมาส3/63 ที่ 910 ล้านบาทเพิ่มจิ้น โต 4% เทียบไตรมาสก่อนหน้า และ โต 24% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนไตรมาส 4/2563 คาดทำ All time high รับอานิสงส์มาตรการคนละครึ่งกระตุ้นยอดขาย และลดต้นทุนการผลิตหนุน GPM

 

อันดับ 2  บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC ราคาหุ้นในช่วง 11 เดือนแรกปี 2563 ปรับตัวขึ้น 11.50% จากระดับ 39.50 บาท ณ วันที่ 30 ธ.ค.62 มาอยู่ที่ระดับ 51.00 บาท ณ วันที่ 30 พ.ย.63 คาดได้ประโยชน์โครงการของภาครัฐอย่างช็อปดีมีคืนในการผลักดันการใช้จ่ายผ่านบัตรได้ดี อีกทั้งนักวิเคราะห์แนะนำให้ลงทุน “กลุ่มนอนแบงก์” มากกว่าตลาดฯ

บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KGI ระบุว่า ได้เพิ่มน้ำหนักลงทุนกลุ่มนอนแบงก์ (Non-bank) “มากกว่าตลาดฯ” หลังจากจัดงานสัมมนา Corporate day ที่ฝ่ายวิจัยฯ จัดให้กับกลุ่มนักลงทุนสถาบัน โดยหุ้นกลุ่มนอนแบงก์ 4 บริษัทที่เข้าร่วมได้แก่ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC, บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC, บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AEONTS, บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER

“เรามีมุมมองเป็นบวกต่อแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 4/2563 ถึงปี 2564 จากการเติบโตของสินเชื่อ และการตั้งสำรองฯ ที่ลดลง นอกจากนี้ยังมีโอกาสในการรีไฟแนนซ์ คาดต้นทุนทางการเงินจะลดลงประมาณ 0.5%”

ทั้งนี้ จากข้อมูลจาก 4 บริษัทนอนแบงก์ ชี้ว่าผลประกอบการมีแนวโน้มจะดีขึ้นต่อเนื่องในไตรมาสที่ 4/2563 ถึงปี 2564 จากปริมาณสินเชื่อที่เพิ่มขึ้น, การใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต และการตั้งสำรองลดลง ในขณะเดียวกัน ข้อมูล ความสูญเสียจากการให้เครดิตและขยายเครดิต หรือ Credit loss ที่ลดลงก็จะทำให้ประมาณการกำไรของ AEONTS และ KTC มี upside จากการกลับรายการสำรองเป็นรายได้

นอกจากนี้ ต้นทุนทางการเงินของทุกบริษัทก็น่าจะลดลงประมาณ 0.5% จากการ refinance หุ้นกู้ที่มีต้นทุนสูงให้ถูกลง เราปรับเพิ่มน้ำหนักหุ้นกลุ่มนี้เป็น Overweight

โดยบริษัทในกลุ่มนอนแบงก์ทั้ง 4 แห่งที่ให้บริการสินเชื่อผู้บริโภคทั้งแบบที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกัน มองแนวโน้มคล้าย ๆ กันว่าคุณภาพสินทรัพย์ดีขึ้น และสถานการณ์ด้านคุณภาพสินทรัพย์ในขณะนี้ดีกว่าในปี 2562 (AEONTS และ KTC) ซึ่งเมื่อพิจารณาจากการที่บริษัทต่าง ๆ ตั้งสำรองฯ ก้อนใหญ่ในงวด 9 เดือนแรกของปี 2563 และข้อมูลการติดตามหนี้เสียก็แสดงว่ามีการตั้งสำรองฯ ดังกล่าวสูงเกินไป และมีแนวโน้มจะปรับลดลงให้เหมาะสม

 

ส่วนอันดับ 3 บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เป็นหุ้นเข้าใหม่ในเดือนต.ค.63 จึงเปรียบเทียบราคาหุ้นตั้งแต่เข้าตลาดวันแรกในวันที่ 22 ต.ค.63 อยู่ที่ระดับ 35 บาท เพิ่มขึ้น 7.25% มาอยู่ที่ 42.25 บาท ณ 30 พ.ย.63

โดยราคาหุ้น SCGP ไม่สามารถเปรียบเทียบช่วง 11 เดือน เนื่องจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) แจ้งการนำหลักทรัพย์ SCGP ซึ่งจดทะเบียนและเริ่มทำการซื้อขายวันแรกเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2563 เข้าคำนวณดัชนี SET50 และ SET100 โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม 2563 เป็นต้นไป

โดยการทบทวนรายชื่อหลักทรัพย์ที่ใช้สำหรับคำนวณดัชนีดังกล่าว เป็นไปตามหลักเกณฑ์การคัดเลือกหลักทรัพย์ระหว่างรอบที่กำหนดหลักการว่าจะนำหลักทรัพย์จดทะเบียนใหม่เข้ามารวมคำนวณดัชนีหากหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนใหม่นั้นมีขนาดใหญ่

คือ มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดมากกว่า 1% ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม หรือมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดอยู่ในช่วง 20 ลำดับแรกของหลักทรัพย์ในดัชนี SET50 และ SET100 โดยจะนำหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดน้อยสุดออกจากการคำนวณดัชนีไปไว้ในกลุ่มหลักทรัพย์สำรอง

สำหรับหุ้น SCGP เข้าซื้อขายในตลาดวันแรกเมื่อวันที่ 22 ต.ค.2563 และภายหลังปิดทำการซื้อขายหุ้นรายนี้มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด หรือ มาร์เก็ตแคป อยู่ที่ 148,874.25 ล้านบาท ซึ่งเข้าเกณฑ์ดังกล่าวและถูกนำเข้ามาในกลุ่ม SET50

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button