บลจ.วี เปิดขาย “WE-CRETURN6M2-UI” ลงทุนหุ้นพื้นฐานดีทั่วโลก

WE เปิดขาย “WE-CRETURN6M2-UI” ลงทุนหุ้นพื้นฐานดีทั่วโลก


นายอิศรา พุฒตาลศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน วี จำกัด หรือ บลจ.วี เปิดเผยว่า หลังจากที่ บลจ.วี ได้เปิดขาย กองทุนเปิด วี คอมเพล็กซ์ รีเทิร์น 6M1 ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย (WE-CRETURN6M1-UI) อายุโครงการประมาณ 6 เดือน ลงทุนในตราสารหนี้ FCN อ้างอิงหุ้น 3 ตระกร้า 9 หลักทรัพย์ ไปในช่วงเดือนมิถุนายน 2563 ที่ผ่านมา โดยมีเงื่อนไขการไถ่ถอนตราสารและการชำระราคา เมื่อเกิดกรณี ดังนี้

กรณีที่ 1 : ผลการดำเนินงานของหุ้นที่เป็นหลักทรัพย์อ้างอิง (Underlying) ที่มีผลการดำเนินงานต่ำที่สุดในตะกร้าหลักทรัพย์ (Basket) ณ วันครบอายุตราสารมากกว่าหรือเท่ากับ ร้อยละ 80 ของมูลค่าหุ้นอ้างอิงเริ่มต้น กองทุนรับ เงินต้นพร้อมกับดอกเบี้ยจากตราสาร ณ เดือนที่ 6

กรณีที่ 2 : ผลการดำเนินงานของหุ้นที่เป็นหลักทรัพย์อ้างอิง (Underlying) ที่มีผลการดำเนินงานต่ำที่สุดในตะกร้าหลักทรัพย์ (Basket) ณ วันครบอายุตราสารต่ำกว่า ร้อยละ 80 ของมูลค่าหุ้นอ้างอิงเริ่มต้น กองทุนรับดอกเบี้ยจาก ตราสาร และตัวหุ้นที่มีผลการดำเนินงานต่ำสุดเข้าไปในพอร์ต

โดยปัจจุบันกองทุน WE-CRETURN6M1-UI  เป็นไปตามคาดการณ์ ราคาทั้ง 3 ตะกร้า 9 หลักทรัพย์มากกว่าหรือเท่ากับ ร้อยละ 80 ของมูลค่าหุ้นอ้างอิงเริ่มต้น (กรณีที่ 1)และครบกำหนดอายุตราสารที่ลงทุน ทำให้กองทุนได้รับผลตอบแทนที่ 10%ต่อปี บริษัทจัดการจะดำเนินการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ และวันชำระค่าขายคืนหน่วยลงทุนจะดำเนินการสับเปลี่ยนไปยังกองทุนเปิด วี มันนี่ มาร์เก็ต ในวันที่ 23 ธันวาคม 2563 และปิดกองทุนดังกล่าว

ทั้งนี้ มุมมองในระยะถัดไป บลจ.วี ประเมินว่า  หลังจากเริ่มมีการใช้วัคซีนในสหรัฐฯและอังกฤษ ทำให้สถานการณ์ต่อการกลับมาฟื้นตัวของเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้น แม้ว่าจะยังมีผู้ติดเชื้อในหลายประเทศทั้งในสหรัฐฯ ยุโรป และเอเชีย ยังเพิ่มขึ้นอยู่  อีกทั้งยังต้องจับตาดูผลข้างเคียง (Side effect) ของการใช้วัคซีนด้วยจะมีผลมากน้อยเพียงใด

อย่างไรก็ตาม การคลายมาตรการล็อคดาวน์ในหลายประเทศให้กลับมาดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ พร้อมด้วยการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวขึ้นโดยเฉพาะประเทศจีนมีการบริโภคภายในประเทศที่เติบโตสูง ขณะเดียวกันการใช้มาตรการอัดฉีดเงินและคงอัตราดอกเบี้ยระดับต่ำ ของหลายประเทศ ทำให้มีกระแสเงินลงทุน (Fund flow ) ไหลเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ จึงเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้น ส่งผลให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นกลับเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น (Risk-on) โดยเฉพาะหุ้น กลุ่ม E-commerce, กลุ่ม Healthcare และ กลุ่ม Semiconductor ที่ใช้ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีต่างๆ

ดังนั้นเพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนต่อเนื่อง บลจ.วี  จึงเสนอขาย กองทุนเปิด วี คอมเพล็กซ์ รีเทิร์น 6M2 ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย (WE-CRETURN6M2-UI) ระหว่าง วันที่ 23-28 ธันวาคม 2563 โดยลงทุนในหุ้นกู้อนุพันธ์ประเภท Fixed Coupon Note (FCN) ที่สร้างโอกาสจากการจ่ายดอกเบี้ยในอัตราคงที่ของตราสารประมาณ 8% ต่อปี และคืนเงินต้นโดยอ้างอิงกับผลการดำเนินงานของหุ้นต่างประเทศในกลุ่มที่มีปัจจัยพื้นฐานดี เช่น  กลุ่มการค้าออนไลน์ (E-commerce), ธุรกิจเฮลแคร์และกลุ่มบริโภคและบริการในประเทศจีน (China Domestic) และ กลุ่ม Semiconductor

ทั้งนี้ กองทุน WE-CRETURN6M2-UI คาดว่าจะลงทุนในหุ้นกู้อนุพันธ์ที่ออกโดยสถาบันการเงินที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในระดับ Investment Grade ที่มีฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง 3 ราย ได้แก่ 1) Societe Generale ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในประเทศฝรั่งเศส  2.) EFG International Finance ธนาคารในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ที่เน้นบริการบริหารความมั่งคั่งส่วนบุคคล (Private Banking)และบริหารจัดการกองทุน และ 3.) Leonteq Securities AG สถาบันการเงินในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ซึ่งดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการเงินและเทคโนโลยี ในสัดส่วนผู้ออกละประมาณ 33% ของพอร์ตการลงทุน

โดยตราสารหนี้อนุพันธ์ดังกล่าวจะคืนเงินต้นโดยอ้างอิงกับผลการดำเนินงานของตะกร้าหลักทรัพย์ใน 3 กลุ่มอุตสาหกรรม คือ 1.) หุ้น E-commerce ได้แก่  Pinduoduo (PDD US) , Meituan (3690 HK) ,และ Shoplfy Inc (SHOP US) 2.) หุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ และ การบริโภค-บริการ ได้แก่ Ping An Healthcare and Technology (1833 US) , Teladoc Health ,Inc (TDOC US) , และ Xiaomi Corp.(1810 HK)  และ 3.) กลุ่ม Semiconductor  ได้แก่  NVIDA Corporation (NADA) , Advance Mico Devices , Inc (AMD US) Micron Technilogy, Inc (MU US)  ซึ่งเป็น 3 กลุ่มธุรกิจที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งในการสนับสนุนการเติบโต

ทั้งนี้ เมื่อครบกำหนดอายุตราสาร FCN ประมาณ 6 เดือน กองทุน WE-CRETURN6M2-UI มีการไถ่ถอนตราสารและการชำระราคา เมื่อเกิดกรณี ดังนี้

กรณีที่ 1 : ผลการดำเนินงานของหุ้นที่เป็นหลักทรัพย์อ้างอิง (Underlying) ที่มีผลการดำเนินงานต่ำที่สุดในตะกร้าหลักทรัพย์ (Basket) ณ วันครบอายุตราสารมากกว่าหรือเท่ากับ ร้อยละ 80 ของมูลค่าหุ้นอ้างอิงเริ่มต้น กองทุนรับ เงินต้นพร้อมกับดอกเบี้ยจากตราสาร ณ เดือนที่ 6 ซึ่งเป็นการจ่ายผลตอบแทนในอัตราคงที่ (Fixed Coupon) ที่ 8% ต่อปี คือ ที่มูลค่าหน่วยลงทุนอย่างน้อย 10.40 บาทต่อหน่วย ด้วยการรับซื้อหน่วยลงทุนอัตโนมัติทั้งหมดให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนและปิดกองทุน

กรณีที่ 2 : ผลการดำเนินงานของหุ้นที่เป็นหลักทรัพย์อ้างอิง (Underlying) ที่มีผลการดำเนินงานต่ำที่สุดในตะกร้าหลักทรัพย์ (Basket) ณ วันครบอายุตราสารต่ำกว่า ร้อยละ 80 ของมูลค่าหุ้นอ้างอิงเริ่มต้น กองทุนรับดอกเบี้ยจาก ตราสาร และตัวหุ้นที่มีผลการดำเนินงานต่ำสุดเข้าไปในพอร์ต โดย

1.กองทุนจะจ่ายผลตอบแทนในอัตราคงที่ (Fixed Coupon) ที่ 8% ต่อปี โดยวิธีการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติเข้าบัญชีผู้ถือหน่วยลงทุน ประมาณ 0.40 บาทต่อหน่วยลงทุน

2.กองทุนรับส่งมอบหุ้นที่มีผลการดำเนินงานต่ำสุด ในราคา strike price (80% ของราคาเริ่มต้น) และเป็นกองทุนเปิด โดยผู้ถือหน่วยลงทุนสามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้ทุกวันทำการ และปิดกองทุนเมื่อราคาหน่วยลงทุนแตะระดับ 10.40 บาท โดยการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติไปยังกองทุน WE-MONEY-R

แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมา ราคาหุ้นโลก (Global Stock) ได้ปรับตัวสูงขึ้นค่อนข้างมาก เช่น หุ้นกลุ่มเทคโนโลโลยี และเฮลท์แคร์ แต่ บลจ.วี มองว่า การเลือกลงทุนในหุ้นทั่วโลกเป็นรายตัว ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี หากเกิดขายทำกำไร การปรับตัวลงของราคาจะไม่มากนัก ดังนั้น ผลิตภัณฑ์การลงทุนที่อ้างอิงผลการดำเนินงานกับหุ้น Global Stock ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เติบโตและได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจพร้อมกับการป้องกันการระบาดของโควิด  จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ โดยกองทุนดังกล่าวจะเสนอขายกับผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษเท่านั้น หรือ Ultra Accredited Investor Mutual Fund  ” นายอิศรา กล่าว

  • ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
  • กองทุนนี้มีความเสี่ยงสูงและซับซ้อน ผู้ลงทุนควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมก่อนทำการลงทุน
  • กองทุนรวมมีหลักเกณฑ์การจ่ายผลตอบแทนแบบซับซ้อน ผู้ลงทุนควรศึกษาให้เข้าใจก่อนลงทุน
  • กองทุนนี้ไม่ถูกจำกัดความเสี่ยงด้านการลงทุนเช่นเดียวกับกองทุนรวมทั่วไป จึงเหมาะกับผู้ลงทุนที่รับผลขาดทุนได้ในระดับสูงเท่านั้น
  • กองทุนมีความเสี่ยงมากกว่ากองทุนรวมที่ลงทุนในหลักทรัพย์อ้างอิงโดยตรง เนื่องจากใช้เงินลงทุนในจำนวนที่น้อยกว่าจึงมีกำไร/ขาดทุนสูงกว่าการลงทุนในหลักทรัพย์อ้างอิงโดยตรง
  • กองทุนนี้ลงทุนกระจุกตัวในผู้ออกตราสารที่มีสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง (Structured Note) ที่เป็นหุ้นกู้อนุพันธ์ ประเภท Fixed Coupon Note (FCN) จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก
  • กองทุนรวมนี้ลงทุนกระจุกตัวในประเทศสหรัฐอเมริกาและฮ่องกง ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของตนเองด้วย
  • การลงทุนในตราสารที่มีสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง (Structured Note) ที่เป็นหุ้นกู้อนุพันธ์ ประเภท Fixed Coupon Note (FCN) มีความเสี่ยงที่เกิดจากการคาดการณ์ทิศทางของหุ้นที่เป็นหลักทรัพย์อ้างอิง (Underlying) ผิดพลาด

ทำให้กองทุนอาจไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่คาดหวัง หรืออาจทำให้เกิดการขาดทุนบางส่วนหรือทั้งหมดได้

  • ผลตอบแทนจากการลงทุนตามความเคลื่อนไหวของราคาสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures price) อาจไม่เท่ากับความเคลื่อนไหวของราคาปัจจุบัน (spot price) ของสินค้าหรือตัวแปรดังกล่าว
  • ผู้ถือหน่วยลงทุนไม่สามารถขายคืนหน่วยลงทุนนี้ในช่วงเวลา 6 เดือน นับจากวันจดทะเบียนกองทรัพย์สินเป็นกองทุนรวมได้
  • หากกองทุนครบกำหนดอายุตราสาร และเข้าเงื่อนไขส่งมอบเป็นหุ้นอ้างอิงในตะกร้าหลักทรัพย์ กองทุนจะรับมอบหุ้นดังกล่าวในราคาร้อยละ 80 ของราคาหลักทรัพย์อ้างอิงเริ่มต้น อย่างไรก็ตาม บริษัทจัดการจะคำนวณมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนตามมูลค่าตามตลาด (Mark to Market) ซึ่งอาจต่ำกว่าราคาหุ้นที่รับมอบมา ส่งผลให้มูลค่าหน่วยลงทุนอาจปรับตัวลดลงต่ำกว่า 10.40 บาทต่อหน่วย ซึ่งเป็นมูลค่าหน่วยลงทุนเป้าหมายในการเลิกกองทุน
  • มูลค่าหน่วยลงทุน 10.40 บาทต่อหน่วยที่กำหนดไว้ ภายหลังตราสารที่มีสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง (Structured Note) ที่เป็นหุ้นกู้อนุพันธ์ ประเภท Fixed Coupon Note (FCN) ครบกำหนดอายุการลงทุนประมาณ 6 เดือนและเข้าเงื่อนไขการไถ่ถอนโดยกองทุนได้รับการส่งมอบเป็นหลักทรัพย์อ้างอิงที่มีผลการดำเนินงานต่ำที่สุดในแต่ละตะกร้าหลักทรัพย์ (Basket) และกองทุนได้เปิดรับซื้อคืนหน่วยลงทุนภายหลังการเสนอขายครั้งแรก ไม่ใช่การรับประกันผลตอบแทนจากการลงทุน
  • เนื่องจากกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจจะขาดทุน หรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
  • ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
  • ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลในหนังสือชี้ชวนให้เข้าใจและควรเก็บหนังสือชี้ชวนไว้เป็นข้อมูลเพื่อใช้อ้างอิงในอนาคต และเมื่อมีข้อสงสัยให้สอบถามผู้ติดต่อกับผู้ลงทุนให้เข้าใจก่อนซื้อหน่วยลงทุน

Back to top button