BBL กำไรปี 64 โตเด่น

มีการประเมินการ BBL ว่าด้านกำไรสุทธิในไตรมาส 4 ปี 2563 อยู่ที่ 5.3 พันล้านบาท ลดลง 34% จากงวดเดียวกันของปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 32% จากไตรมาสก่อน


คุณค่าบริษัท

มีการประเมินการต่อ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL ว่าด้านกำไรสุทธิในไตรมาส 4 ปี 2563 อยู่ที่ 5.3 พันล้านบาท ลดลง 34% จากงวดเดียวกันของปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 32% จากไตรมาสก่อน

สำหรับการลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน เพราะไตรมาส 4 ปี 2562 มีกำไรจากเงินลงทุนสูงถึง 1.5 หมื่นล้านบาท และมีการนำไปตั้งสำรองบางส่วน

ขณะที่คาดกำไรเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน เนื่องจาก 1.ไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษจากเพอร์มาตาจำนวน 4 พันล้านบาท, 2.สินเชื่อรวมเพิ่มขึ้นได้ โดยเพิ่มขึ้น 0.7% จากไตรมาสก่อน หรือ 16.0% จากต้นปีถึงปัจจุบัน, 3.ส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ยังทรงตัวได้ที่ระดับ 2.3% จากไตรมาส 3/2563, 4.รายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นได้ โดยเพิ่มขึ้น 7% จากไตรมาสก่อน จากธุรกิจกองทุนรวมและค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับสินเชื่อ

5.สำรองฯ จะเพิ่มขึ้น 25% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากการตั้งเผื่อลูกหนี้ที่เริ่มทยอยครบกำหนดในโครงการบรรเทาหนี้ และ 6.NPLs ratio ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 4.40% จากในไตรมาสก่อนที่ 4.10% เพราะลูกหนี้ที่ออกจากโครงการและไม่มีการขายหนี้เสียออกเพราะราคาขายปรับตัวลดลง

นอกจากนี้ คาดกำไรสุทธิปี 2564 ที่ 2.3 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งถือว่าเติบโตได้สูงที่สุดในกลุ่มธนาคาร เนื่องจาก

1) มีการตั้งสำรองฯ เพิ่มเติมไปมากแล้วตั้งแต่ปี 2562 ถึงไตรมาส 3 ปี 2563 และจะตั้งน้อยกว่าธนาคารอื่นเพราะมีการบรรเทาหนี้ที่น้อยกว่า 5% ของสินเชื่อรวม (ค่าเฉลี่ยของกลุ่มฯ อยู่ที่ 23%) ประกอบกับไม่มีค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ในการปรับโครงสร้างองค์กรจากธนาคารเพอร์มาตาเหมือนในปี 2563 ทำให้ต้นทุนต่อรายได้จะปรับลดลงมาอยู่ที่ 49% จาก 52% ในปี 2563

2) ส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) จะลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 2.17% จาก 2.26% ในปี 2563 เพราะยังคงมีการช่วยเหลือลูกหนี้บางส่วนอยู่

3) NPLs มีโอกาสเพิ่มขึ้นน้อยกว่ากลุ่มฯ เพราะมีความเสี่ยงเรื่องการบรรเทาหนี้น้อยกว่ากลุ่มธนาคารขนาดใหญ่เพราะช่วยเหลือลูกหนี้น้อยกว่า 5% ของสินเชื่อรวม (ค่าเฉลี่ยของกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่อยู่ที่ 40%) ทำให้เชื่อว่าการตั้งสำรองฯ ในปี 2564 จะน้อยกว่าธนาคารอื่น ๆ

สุดท้ายทางนักวิเคราะห์ บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ยังคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 150 บาท

ผู้ถือหุ้นรายใหญ่

  1. บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด 448,535,678 หุ้น 23.50%
  2. SOUTH EAST ASIA UK (TYPE C) NOMINEES LIMITED 98,649,920 หุ้น 5.17%
  3. สำนักงานประกันสังคม   85,852,300 หุ้น 4.50%
  4. UOB KAY HIAN (HONG KONG) LIMITED – Client Account 39,837,220 หุ้น 2.09%
  5. STATE STREET EUROPE LIMITED 36,715,127 หุ้น 1.92%

รายชื่อกรรมการ

  1. นายปิติ สิทธิอำนวย ประธานกรรมการ
  2. นายเดชา ตุลานันท์ ประธานกรรมการบริหาร, กรรมการ
  3. นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่, กรรมการ
  4. นายอมร จันทรสมบูรณ์ กรรมการ
  5. นายสุวรรณ แทนสถิต กรรมการ

Back to top button