SMT แรงไม่หยุด! พุ่งอีก 20% ทะลุเป้า 3.60 บาท ลุ้นผลงานรายได้ปีนี้โตทะลัก 50%

SMT แรงไม่หยุด! พุ่งอีก 20% ทะลุเป้า 3.60 บาท ลุ้นผลงานรายได้ปีนี้โตทะลัก 50%


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท สตาร์ส ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SMT ณ เวลา 10.32 น. อยู่ที่ระดับ 4.00 บาท บวก 0.66 บาท หรือ 19.76% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 161.66 ล้านบาท ราคาหุ้นวิ่งแรงในรอบ 3 ปี 2 เดือน โดยเทียบตั้งแต่หุ้นยืนที่ระดับ 4.08 บาท เมื่อวันที่ 16 ต.ค.60

บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ว่า SMT (BUY, TP3.6) ได้ตรวจสอบกับผู้บริหาร SMT ไม่พบปัจจัยลบใหม่ที่ส่งผลต่อปัจจัยพื้นฐานบริษัท จึงมองว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวลงน่าจะเกิดจาก SMT ขาดปัจจัยบวกใหม่จากประเด็นที่ตลาดรับรู้ ประกอบกับราคาหุ้น SMT นับจากต้นปี 63 ปรับขึ้นราว +126%ytd เด่นรองจาก DELTA (+685%) ทำให้นักลงทุนเปลี่ยนไปลงทุนหุ้นที่มีปัจจัยบวกใหม่ๆ และคาดว่าจะมี upside ต่อผลการดำเนินงานในอนาคต

ปัจจุบัน SMT มีคำสั่งซื้อจากลูกค้ารองรับการเติบโตของยอดขายถึงครึ่งแรกปี 2564 นอกจากนี้จากการสอบถามข้อมูลกับผู้บริหารระบุ บริษัทยังเดินหน้าขยายฐานลูกค้าและสินค้าใหม่ๆ ในปี 2564 ได้แก่ กลุ่ม Optics จะขยายตลาดสู่สินค้าในกลุ่ม Auto และกลุ่ม PCBA/Box build จะขยายตลาดในกลุ่ม Medical devices ซึ่งหากบริษัทสามารถเพิ่มฐานลูกค้าในสินค้าใหม่ตามแผน คาดว่าจะเป็น Upside ต่อประมาณการปี 2564 เป็นต้นไป

แนวโน้มไตรมาส 4/2563 คาดผลการดำเนินงานจะมีกำไรราว 30 ล้านบาท ฟื้นตัวจากขาดทุนในไตรมาส 4/2562 และดีกว่ามุมมองที่เคยให้ไว้ก่อนหน้า (เดิมคาดไตรมาส 4/2563  กำไร 25 ล้านบาท) เนื่องจากบริษัทสามารถบริหารต้นทุนวัตถุดิบได้ดี ทำให้คาดมี Gross margin ราว 19.8% (ดีกว่าคาดเดิมที่ 19.5%) อย่างไรก็ตาม เทียบ เทียบไตรมาสก่อนหน้าคาดกำไรลดลง จาก Gross margin มีแนวโน้มอ่อนตัวลง เทียบไตรมาสก่อนหน้าตามยอดขายสินค้า turnkey product ในกลุ่ม Optics มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น และค่าใช้จ่าย SG&A เพิ่มขึ้น เทียบไตรมาสก่อนหน้าจากบันทึกค่าใช้จ่ายโบนัสพนักงาน

คงคำแนะนำ Buy สำหรับ SMT (TP 3.60 บาท) เนื่องจากเรายังมีมุมมองบวกต่อแนวโน้มการเติบโตของผลการดำเนินงานปี 2564 คาดกำไร 147 ล้านบาท (+96%y-y) จากคำสั่งซื้อของลูกค้ามีความแน่นอนขึ้น ประกอบกับบริหารต้นทุนการผลิตและค่าใช้จ่ายได้ดีต่อเนื่อง ทำให้ Gross margin ดีขึ้น รวมทั้งมีโอกาสขยายตลาดเพิ่มในเอเชีย,ยุโรป เรามองเป็น Catalyst บวกต่อยอดการเติบโตและเป็น upside ต่อประมาณการในระยะยาว นอกจากนี้ราคาหุ้น SMT ปัจจุบันซื้อขาย PE 21F เพียง 14.3 เท่า ถูกกว่า PE เฉลี่ย 32.1 เท่าของกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ศึกษา 5 บริษัท

 

โดยก่อนหน้า นายวิรัตน์ ผูกไทย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สตาร์ส ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SMT เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 4/2563 จะเติบโตจากไตรมาส 3/2563 ตามยอดคำสั่งซื้อ (ออเดอร์) ที่เพิ่มขึ้น จะส่งผลให้แนวโน้มรายได้รวมในปี 2563 อยู่ที่ 1,974 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,819.34 ล้านบาท หลังจากในช่วง 9 เดือนแรกบริษัทมีรายได้รวมแล้ว 1,411.10 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 49.10 ล้านบาท

โดยสัดส่วนรายได้ในปี 2563 จะมาจากการขายใน 4 กลุ่มสินค้า ประกอบด้วย กลุ่ม IC Osat and Advance คาดจะมีรายได้ประมาณ 1,119 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 59.10% ของรายได้รวม,กลุ่ม PCBA & Box Buil คาดจะมีรายได้ 264 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 9.10% ของรายได้รวม,กลุ่ม Optics คาดจะมีรายได้ 592 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 31% ของรายได้รวม และกลุ่ม High Precision / Medical จะมีสัดส่วนรายได้เพียง 0.80% ของรายได้รวม

สำหรับผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 3/2563 บริษัทมีกำไรสุทธิ 43.11 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 47.55 ล้านบาท และมีรายได้รวม 503.37 ล้านบาท เติบโต 33.85% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 127.31 ล้านบาท  ดังนั้น จึงส่งผลให้งวด 9 เดือนแรกของปี 2563 บริษัทมีกำไรสุทธิ 49.10 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 19.73 ล้านบาท และมีรายได้รวม 1,411.09 ล้านบาท เติบโต 2.77% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,373.02 ล้านบาท โดยรายได้ที่เติบโตขึ้นมาจากธุรกิจในกลุ่ม IC Osat and Advance และกลุ่ม Optics

ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2564 จะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปี 2563 โดยได้ประเมินรายได้รวมในปี 2564 ไว้ที่ 2,600 ล้านบาท เติบโตประมาณ 40-50% จากปี 2563 ซึ่งปัจจุบันมียอดคำสั่งซื้อล่วงหน้ารองรับแล้ว และจะมีลูกค้าใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น เบื้องต้นคาดจะมีลูกค้าใหม่เพิ่มอีก 10 ราย ขณะเดียวกัน ในปี 2564 จะมีรายได้จาก 3 กลุ่มสินค้า ประกอบด้วย กลุ่ม IC Osat and Advance สัดส่วนประมาณ 41.90%,กลุ่ม PCBA & Box Buil สัดส่วนประมาณ 26.60% และกลุ่ม Optics สัดส่วนประมาณ 31.50%

ทั้งนี้ ในปี 2564 รายได้จะเติบโตขึ้นในทุก ๆ ไตรมาส เบื้องต้นประเมินรายได้ในไตรมาส 1/2564 ไว้ที่ 545 ล้านบาท (มาจากกลุ่มลูกค้ากลุ่มเดิมประมาณ 85%) ขณะที่รายได้ในช่วงไตรมาส 2/2564 จะอยู่ที่ 610 ล้านบาท (มาจากลูกค้ากลุ่มเดิมประมาณ 80%) ส่วนรายได้ไตรมาส 3/2564 จะอยู่ที่ 693 ล้านบาท (มาจากลูกค้ากลุ่มเดิมประมาณ 72%) และรายได้ในไตรมาส 4/2564 จะอยู่ที่ 743 ล้านบาท (มาจากลูกค้ากลุ่มเดิมประมาณ 70%)

สำหรับในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 บริษัทได้วางกลยุทธ์จะมีลูกค้าใหม่เพิ่มอีกประมาณ 10 ราย ขณะเดียวกันได้ขยายธุรกิจ โดยจะเข้าไปรับงานประเภทเทิร์นคีย์มากขึ้น เพื่อเพิ่มมาร์จิ้น รวมถึงจะมีการอัพเกรดระบบ ERP (Enterprise Resource Planning) ในไตรมาส 2/2564 รองรับการดำเนินธุรกิจในอนาคต

นายวิรัตน์ กล่าวอีกว่า บริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตในช่วง 5 ปีจากนี้ (ปี 2564-2568) จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง และอัตรากำไรขั้นต้นจะเติบโตประมาณ 20% ต่อปี โดยวางกลยุทธ์การเติบโตไว้ 3 เฟส ประกอบด้วย เฟส 1 (ปี 2564) จะมีรายได้รวม 2,600 ล้านบาท เติบโตประมาณ 40-50% จากปีก่อน ขณะที่เฟส 2 (ปี 2565-2568) รายได้รวมจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 30% โดยในปี 2565 จะมีรายได้รวม 3,000 ล้านบาท ส่วนในปี 2566 จะมีรายได้รวม 4,000 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2567 จะมีรายได้รวม 6,000 ล้านบาท และในปี 2568 จะมีรายได้รวม 7,500 ล้านบาท ส่วนเฟส 3 บริษัทได้ตั้งเป้าหมายเป็นบริษัทที่ติดอันดับ TOP 50 ของอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์

ด้านการเติบโตในช่วง 3 ปีแรก (ปี 2564-2566) จะมาจากการเติบโตของธุรกิจหลัก ส่วนในปี 2567-2568 จะเติบโตจากการเข้าซื้อกิจการ (M&A) ซึ่งการลงทุนของบริษัทจะไม่ขึ้นอยู่กับทำเล แต่บริษัทจะเน้นลงทุน เพื่อให้มีเทคโนโลยีในการแข่งขันที่ดีขึ้น โดยขนาดของการลงทุน มูลค่าจะไม่เกิน 1,000 ล้านบาทต่อดีล สำหรับบริษัทจะต้องมียอดขายประมาณ 20-30 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี และบริษัทที่ SMT เข้าไปลงทุนนั้น จะต้องเติบโตได้ด้วยตัวเอง โดยยอดขายของ SMT จะต้องใหญ่กว่าบริษัทที่ SMT เข้าลงทุนประมาณ 7-10 เท่า

“การทำ M&A เพราะต้องการขยายใน 3 เรื่อง คือ 1.การขยายเพื่อได้รับสิทธิ์ต่าง ๆ เช่น การขยายในไทยจะต้องได้รับสิทธิ์ส่งเสริมการลงทุน (BOI),2.ลงทุนในประเทศที่มีการบริหารจัดการได้ง่าย ซึ่งบริษัทจะใช้ Knowledge คือการบริหารจัดการความรู้ที่มีในการควบคุมและขับเคลื่อนธุรกิจควบคู่ไปด้วยกัน และ3.การลงทุนที่จะทำให้เราอยู่ใกล้ลูกค้ามากขึ้น เดินทางได้สะดวก เพิ่มความสามารถในการแข่งขันได้มากขึ้น” นายวิรัตน์ กล่าว

Back to top button