SPA น่าสอย! ลุ้นผลงาน “เทิร์นอะราวด์” อานิสงส์คลายล็อกดันนทท.ฟื้น

SPA น่าสอย! ลุ้นผลงาน “เทิร์นอะราวด์” อานิสงส์คลายล็อกดันนทท.ฟื้น


บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้นบริษัท สยามเวลเนสกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ SPA ในราคาเป้าหมาย 9.50 บาท/หุ้น

ทั้งนี้ ประเมินผลประกอบการของ SPA ในช่วงไตรมาส 4/63 จะขาดทุนราว 40 ล้านบาท ลดลงจากในช่วงไตรมาส 3/63 ซึ่งขาดทุน 55 ลบ. โดยผลประกอบการดีขึ้นจากจำนวนสาขาที่เปิดให้บริการมากขึ้น และการใช้กลยุทธ์เพิ่มลูกค้าในประเทศในช่วงโครงการเราเที่ยวด้วยกัน

อย่างไรก็ตาม การระบาดรอบสองที่เกิดขึ้นทำให้ SPA ต้องหยุดให้บริการบางสาขาตั้งแต่ช่วง 2 ม.ค. และส่งผลให้ลูกค้าเสียความมั่นใจในการใช้บริการในช่วงไตรมาส 1/64 อย่างไรก็ดี เรามองเห็นความเป็นไปได้ในการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวในช่วงไตรมาส 4/64 ซึ่งจะส่งผลต่อราคา SPA ดังนั้นจึงปรับคำแนะนำเป็น “ซื้อ” ด้วยมูลค่าเหมาะสมที่ 9.50 บาท

ทั้งนี้ คาดรายได้อยู่ที่ 108 ล้านบาท ลดลง 68% จากปีก่อนจากสถานการณ์โควิด-19 แต่ฟื้นตัวขึ้นจากไตรมาสก่อนกว่า 42% เนื่องจากการกลับมาให้บริการหลังบางสาขามีการคลายมาตรการล็อกดาวน์ และการดำเนินงานที่ดีขึ้นจากโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ในไตรมาสนี้มีผู้เข้าใช้บริการราว 9 หมื่นราย ซึ่งยังน้อยกว่าระดับก่อนโควิดที่ 3 แสนรายต่อไตรมาส คาด GPM จะปรับตัวดีขึ้นเป็น -1.0% เนื่องจากอัตราการเข้าใช้บริการดีขึ้นจาก 30-40%  (ไตรมาส 3/63) เป็น 50 – 60% สำหรับธุรกิจต่างประเทศ สาขาของ SPA ในจีนผลประกอบการณ์ดีกว่าช่วงก่อนการระบาดแล้ว สาขาในกัมพูชายังเปิดให้บริการอยู่ ส่วนในเมียนมายังจำเป็นต้องหยุดให้บริการ

พร้อมกันนี้ ประเมินรายได้ไตรมาส 1/64 ค่อนข้างน่าเป็นห่วง เนื่องจากจำเป็นต้องปิดสาขา 40 สาขา จากทั้งหมด 60 สาขา กว่า 21 วัน (2 – 22 ม.ค.) เนื่องจากผลประกอบการณ์ของ SPA พึ่งพาภาคการท่องเที่ยวค่อนข้างสูง (75% ของรายได้) มองว่ากำไรสุทธิสามารถกลับมาใกล้เคียงช่วง pre-covid ได้หากมีการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวอีกครั้ง (อาจเกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 2/64) เนื่องจาก SPA จำเป็นต้องมีผู้ใช้บริการแค่ราว 225,000 รายต่อไตรมาส เพื่อที่จะกลับมาประกอบการณ์ใกล้เคียงช่วง pre-covid เรามองว่างบดุลของ SPA จะสามารถประคองตัวโดยไม่มีนักท่องเที่ยวได้จนถึงช่วง 21 ธ.ค. (ด้วย cash burn rate ที่ 10 ล้านบาท/เดือน) ทั้งนี้ SPA ได้ยื่นขอสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำจากรัฐบาลมูลค่า 100 ล้านบาท

ทั้งนี้ ประเมินมูลค่าเหมาะสมด้วย DCF (WACC 7.8% และ terminal growth 2%) ปัจจัยราคาได้แก่ 1. Travel bubble 2. การเปิดสาขาเพิ่มมากขึ้น 3.วัคซีนโควิด ปัจจัยเสี่ยงได้แก่ นักท่องเที่ยวน้อยกว่าคาด

Back to top button