DOD กำไรปี 63 พุ่ง 3 เท่า! แย้มปีนี้โตแกร่ง คาดได้รับอนุญาตนำเข้าเมล็ดพันธุ์กัญชงเดือนนี้

DOD กำไรปี 63 พุ่ง 3 เท่า! แย้มปี 64 โตแกร่ง คาดได้รับอนุญาตนำเข้าเมล็ดพันธุ์กัญชงเดือนนี้ ลุยขอใบอนุญาตขายเมล็ดพันธุ์-ตั้งโรงงานสกัดสาร CBD จ่อเซ็น MOU พัฒนาผลิตภัณฑ์ร่วมกับลูกค้าในตลท.


นายธนิน ศรีเศรษฐี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดีโอดี ไบโอเทค จำกัด (มหาชน) หรือ DOD เปิดเผยถึงผลประกอบการปี 2563 กลุ่มบริษัทฯมีรายได้จากการขาย 1,611.20 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 821.28ล้านบาท หรือ เติบโตร้อยละ 103.97 เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีรายได้จากการขายอยู่ที่ 789.92  ล้านบาท เป็นผลมาจากธุรกิจผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ผลิตเครื่องสำอาง และธุรกิจเครือข่ายที่เติบโตต่อเนื่อง  โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีความเชี่ยวชาญด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) ในหลายรูปแบบ อาทิ  รูปแบบผง , แคปซูล , ตอกเม็ด , เจลและเยลลี่ และซอฟเจลในรูปแบบที่เคี้ยวทั้งเมล็ด เป็นต้น ซึ่งสามารถตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคได้ทันที

พร้อมกันนี้ด้วยกลยุทธ์เน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต รวมทั้งควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารได้เป็นอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลในปี 2563 กลุ่มบริษัทฯมีกำไรจากการดำเนินงาน (Operating Profit) 321.17 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 240.96 ล้านบาท หรือ เติบโตร้อยละ 300.40  เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 80.21 ล้านบาท แต่กลุ่มบริษัทฯมีการตั้งด้อยค่าสินทรัพย์ จำนวน 128.30 ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่มิใช่เงินสด อันเป็นผลมาจากการปรับโครงสร้างการบริหารจัดการเพื่อรองรับกับสถานการณ์ความไม่แน่นอนจากสภาวะเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม กลุ่มบริษัทฯยังคงมีผลกำไรส่วนของบริษัทใหญ่จำนวน 141.24 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนจำนวน 54.53 ล้านบาท หรือ เติบโตร้อยละ 62.89

ทั้งนี้จากความสำเร็จในช่วงที่ผ่านมาเป็นการตอกย้ำถึงการเป็นผู้นำด้านการผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (Dietary Supplement Product) ซึ่งสะท้อนให้เห็นได้จากการนำนวัตกรรมงานด้านวิจัยมาผสมผสานกับงานด้านเทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อยกระดับกระบวนการผลิตในทุกๆมิติ โดยเฉพาะในกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีสารสกัดจากสมุนไพรไทยที่ปัจจุบันกำลังเป็นที่นิยมของกลุ่มบริโภคคนรุ่นใหม่หันมาใช้เป็นทางเลือกในการดูแลสุขภาพมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับแผนยุทธ์ศาสตร์ของบริษัทฯที่ต้องการเพิ่มสัดส่วนของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพที่ใช้สารสกัดจากสมุนไพรไทย โดยเล็งเห็นว่าสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่มีจำนวนมากขึ้นในทุก ๆ ปี เพื่อสอดรับกับการยกระดับเมกะเทรนด์เพื่อสุขภาพ

ส่วนทิศทางธุรกิจในปี 2564 บริษัทฯเชื่อมั่นว่าปีนี้จะเป็นปีแห่งการเติบโตของ DOD เนื่องจากจะมียอดคำสั่งซื้อในการผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีความหลากหลายจากกลุ่มลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดบริษัทฯยังมีออเดอร์ในส่วนของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารใหม่ กลุ่มโพรไบโอติก รูปแบบเชื้อจุลินทรีย์ที่มีชีวิต (Active) เข้ามาต่อเนื่อ ซึ่งเบื้องต้นจะเริ่มทยอยส่งมอบสินค้า และรับรู้รายได้ของกำลังการผลิตเฟสแรก ในช่วงไตรมาส 1 เป็นต้นไป

โดยผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกลุ่มโพรไบโอติก ในเฟสแรกจะเป็นผลิตภัณฑ์ประเภทผงในซองขนาดเล็ก 3 กรัม พร้อมรับประทานมีกำลังการผลิตอย่างน้อย 1 ล้านซองต่อเดือน คาดเป็นส่วนผลักดันรายได้เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 100 ล้านบาทต่อปี และหลังจากนั้นก็จะพิจารณาขยายการผลิตเพิ่มมากขึ้น และมีแนวทางเพิ่มผลิตภัณฑ์ประเภทแคปซูลในเฟสถัดไป

พร้อมทั้งยังได้กล่าวถึง กรณีที่คณะกรรมการอาหารและยา (อย.)ประกาศหลักเกณฑ์และออกใบอนุญาตให้เอกชนสามารถนำน้ำมันจากเมล็ดกัญชงมาใช้ในอาหารได้ หลังจากก่อนหน้านี้ได้ออกกฎหมายให้เอกชนนำน้ำมันจากเมล็ดกัญชงมาใช้ในเครื่องสำอางแล้ว  ซึ่งจะทำให้เอกชนสามารถนำน้ำมันจากเมล็ดกัญชงไปใช้ในเชิงพาณิชย์ได้นั้น หลังจากที่บริษัทฯได้มีการยื่นคำขอรับใบอนุญาตนำเข้าเมล็ดพันธุ์ในช่วงที่ผ่านมา เบื้องต้นคาดว่าช่วงกลางเดือนมีนาคมนี้ บริษัทฯจะได้รับใบอนุญาตในการนำเข้าเมล็ดอย่างแน่นอนนอกจากนี้ บริษัทฯอยู่ระหว่างการเตรียมยื่นคำขอรับใบอนุญาตจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ เพื่อจำหน่ายให้กับกลุ่มเกษตรกร ที่ได้รับใบอนุญาตผลิต(ปลูก) รวมถึงเตรียมยื่นขอใบอนุญาตตั้งโรงงานสกัดสาร CBD ในการเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สารสกัดจากกัญชง กับอย. เป็นลำดับต่อไป

ทั้งนี้จากจุดแข็งและข้อได้เปรียบของบริษัทฯที่มีความพร้อมในเรื่องของโรงสกัด และห้องปฏิบัติการ (LAB) ซึ่งผ่านการรับรองความสามารถตามมาตรฐาน ISO/IEC 17025 : 2017 จากสำนักมาตรฐานห้องปฏิบัติการ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข รวมถึงยังได้การรับรองมาตรฐาน ISO22000:2018 (ระบบการจัดการความปลอดภัยของอาหาร) และ ISO14001:2015 (ระบบการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม) และมีทีมวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ (R&D)ของบริษัทเอง ที่คอยค้นคว้าวิจัยนวัตกรรมและพัฒนาสารสกัดพืชสมุนไพร

รวมถึงการพัฒนากระบวนการสกัด ออกแบบผลิตภัณฑ์ ทำให้ล่าสุดมีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ บริษัทเอกชนอื่นๆ กว่า 20 ราย เข้ามาหารือร่วมกันเพื่อพัฒนาและคิดค้นสูตร ผลิตภัณฑ์สารสกัดจากกัญชง เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และคาดว่าในเร็วๆนี้จะเซ็นสัญญาบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ (MOU) กับกลุ่มลูกค้าดังกล่าว ในเร็วๆนี้

หากบริษัทฯได้รับใบอนุญาตครบตามที่ยื่นขอ และสามารถผลิตผลิตภัณฑ์จากสารสกัดกัญชงเชิงพาณิชย์ตามความต้องการของลูกค้าได้ตามที่วางแผนไว้ จะยิ่งเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงความพร้อมของศักยภาพความแข็งแกร่งในการเป็นผู้นำในการผลิตผลิตภัณฑ์จากสารสกัดกัญชงได้แบบครบวงจร ที่สำคัญจะส่งผลให้รายได้บริษัทฯเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในอนาคต” นายธนิน กล่าวทิ้งท้าย

Back to top button