เปิด 10 หุ้น “บลูชิพ” วิ่งแรงในรอบ 2 เดือน! COM7 นำทีมโกยรีเทิร์นสูงสุด 31 %

เปิด 10 หุ้น “บลูชิพ” วิ่งแรงในรอบ 2 เดือน! COM7 นำทีมโกยรีเทิร์นสูงสุด 31 %


ดัชนีตลาดหุ้นไทย SET Index ในช่วง 2 เดือนแรกปี 2564 ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย โดยเห็นได้จากดัชนียืนที่ระดับ 1449.35 จุด (ณ 30 ธ.ค.63) มาอยู่ที่ระดับ 1496.78 จุด (ณ 25 ก.พ.64) เพิ่มขึ้น 47.43 จุด หรือเพิ่มขึ้น 3.27% โดยในช่วงดังกล่าวตลาดหุ้นโลกเข้าสู่โหมดปรับฐานได้กดดันหุ้นไทยปรับฐานต่อเนื่องหลังทะยานขึ้นแรงในช่วงต้นปี

ผสานกับแรงขายปรับพอร์ตต่อเนื่องของนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศระยะสั้น อีกทั้งตลาดขาดปัจจัยหนุน เนื่องจากการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ รวมถึงนักลงทุนรอประกาศผลประกอบการไตรมาส 4/2563

อย่างไรก็ตามภาวะตลาดหุ้นไทยในช่วงเดือน 2 เดือนแรกปีนี้จะปรับตัวขึ้นเพียงเล็กน้อย เนื่องจากนักลงทุนเน้นเก็งกำไรในหุ้นที่คาดว่าผลประกอบการไตรมาส 4/2563 ออกมาแข็งแกร่ง และเน้นลงทุนหุ้นที่มีประเด็นบวกเฉพาะตัวเป็นหลัก

จากภาวะดังกล่าวทีมข่าวข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงทำการสำรวจราคาหุ้นกลุ่ม SET50 ในช่วง 2 เดือนมานำเสนอ โดยครั้งนี้คัดเลือกมาเพียง 10 อันดับแรกที่ปรับตัวขึ้นแรงในช่วงดังกล่าว โดยเทียบข้อมูลราคาหุ้น ณ วันที่ 30 ธ.ค.2563-2 ก.พ.2564 ประกอบด้วย  COM7,EA,KBANK,GLOBAL,CBG,SCB,MINT,PTTEP,TOP,SCGP

ทั้งนี้หุ้นที่ราคาปรับตัวขึ้นแรงอันดับ 1 คือ บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) หรือ COM7 ราคาหุ้นในช่วง 2 เดือนแรกปี 2564 ปรับตัวขึ้น 31.41% จากระดับ 39.00 บาท ณ วันที่ 30 ธ.ค.63 มาอยู่ที่ระดับ 51.25 บาท ณ วันที่ 25 ก.พ.64 คาดราคาหุ้นปรับตัวแรงจากพื้นฐานบริษัทที่แข็งแกร่งเนื่องจากทำกำไรโตต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2560 นอกจากนี้นักวิเคราะห์แนะนำซื้อพร้อมอัพราคาเป้าหมายโดดเด่น

บล.เคทีบีเอสที คงคำแนะนำ ซื้อ แต่ปรับราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้นเป็น 60 บาท อิง 2021E PER ที่ 40.3x (+2.5SD above 5-yr average PER) จากเดิม 48.00 บาท อิง 2021E PER 37.5x (+2.0SD above 5-yr average PER) โดยเป็นผลของการปรับกำไรสุทธิปี 2564 และ re-rate PER เพิ่มขึ้น แนวโน้มรายได้ที่สูงขึ้นทั้งช่องทางออฟไลน์ และออนไลน์ ตามจำนวนสาขาที่เปิดเพิ่มขึ้นสูงในไตรมาส4/2563, จำนวนวันที่ขายสินค้าผ่านสาขาเพิ่มขึ้นภายหลังที่ไม่มีการ lock down และความต้องการ iPhone 12 ที่ดีต่อเนื่องจากปี 2563 และ 2) ค่าใช้จ่ายดำเนินงานลดลง ตามประสิทธิภาพพนักงานที่เพิ่มขึ้น

จึงปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2564/2565 เพิ่มขึ้นปีละ 18%/17% อยู่ที่ 1.79 พันล้านบาท (โต24% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) และ 2.17 พันล้านบาท (โต 21% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) ตามลำดับ จากการปรับเพิ่มอัตราการขยายตัวของรายได้ และลด SG&A/sale ลง

ด้านราคาหุ้นปรับตัวขึ้น และ outperform SET +17%/+115% ในช่วง 1 และ 12 เดือนที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามยังคงแนะนำ ซื้อ จากผลการดำเนินงานที่จะยังคงเติบโตดีต่อเนื่องตามความต้องการสินค้าไอที และ IoT ที่อยู่ในระดับสูง และมีโอกาสที่จะ Synergy ร่วมกับ NCAP (กิจการร่วมค้า) ซึ่งคาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในปี 2564

อย่างไรก็ตามหุ้นอันดับ 2-10 ส่วนใหญ่ที่ปรับตัวแรงล้วนมาจากแนวโน้มธุรกิจที่เติบโตแข็งแกร่งและมีแผนธุรกิจในปี 2564 โดดเด่นทำให้นักวิเคราะห์แนะนำให้เข้าลงทุนหุ้น SET50  

โดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด กล่าวว่า แรงซื้อในตลาดหุ้นวานนี้(3มี.ค.64)ส่วนใหญ่มาจากนักลงทุนต่างชาติ กับกองทุนในประเทศ โดยกลุ่มหุ้นที่ปรับตัวขึ้นเป็นหุ้นใหญ่ในกลุ่ม SET50 ซึ่งอยู่ในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการอุปโภคบริโภคในประเทศเป็นส่วนใหญ่ เพราะมองว่าเศรษฐกิจในประเทศจะเริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ไตรมาส 2/2564 เป็นต้นไป รวมถึงมีการผ่อนคลายเรื่องอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond yield) และปัจจัยต่างประเทศอื่น ๆ ช่วยสนับสนุน แต่โดยหลักแล้ว นักลงทุนมองออกว่ากำลังซื้อภายใยประเทศกำลังจะกลับมา

ดังนั้นกลยุทธ์เน้นไปที่หุ้นใน SET50 ได้แก่ พลังงาน ปิโตรเคมี ธนาคาร การเงิน และกลุ่มที่อิงกับการฟื้นตัวในประเทศ สำหรับหุ้นแนะนำได้แก่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT, บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC, บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVL, บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TISCO, ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK, บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL, บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO, บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD และบริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button