หุ้น กับโลกาภิวัตน์พลวัต2015

ศุกร์ที่ผ่านมาดัชนีตลาดหุ้นไทยลบเล็กน้อย เทียบกับตลาดหุ้นฮ่องกงที่ ร่วงหนักมากถึง 420 จุด และตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ ที่ร่วงหนักเกือบ 200 จุด จากข่าวการทำความสะอาดตลาดของทางการจีน จับกุมเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทหลักทรัพย์ที่ทำผิดกติกาปล่อยกู้มาร์จิ้นเกินกติกากำหนด


ศุกร์ที่ผ่านมาดัชนีตลาดหุ้นไทยลบเล็กน้อย เทียบกับตลาดหุ้นฮ่องกงที่ ร่วงหนักมากถึง 420 จุด และตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ ที่ร่วงหนักเกือบ 200 จุด จากข่าวการทำความสะอาดตลาดของทางการจีน จับกุมเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทหลักทรัพย์ที่ทำผิดกติกาปล่อยกู้มาร์จิ้นเกินกติกากำหนด

ขณะที่ตลาดหุ้นนิวยอร์กและยุโรปก็ปรับตัวลดลงเล็กน้อย เพราะขาดข่าวดีเสริม และรอความชัดเจนของเรื่องที่ใหญ่กว่าคือมาตรการ QE เพิ่มเติมของธนาคารกลางสหภาพยุโรปในการประชุมกลางสัปดาห์นี้

การที่นักลงทุนตลาดต่างๆ สามารถแยกแยะเรื่องผลกระทบว่าอย่างไหนส่งผลต่อกันมากน้อยต่างๆ กันไป เป็นคุณภาพที่สำคัญอย่างยิ่งของนักลงทุนในกระแสโลกาภิวัตน์

โดยทั่วไปแล้ว นักวิเคราะห์มักจะเป็นคนที่เชื่อมโยงอิทธิพลของกระแสโลกาภิวัตน์เข้ากับตลาดหุ้นและราคาหุ้นในตลาดอยู่เสมอ

บทบาทของกระแสฟันด์โฟลว์ ที่เดิมแสดงผ่านการซื้อสุทธิ หรือขายสุทธิของกองทุนต่างชาติในหุ้นธรรมดา เริ่มกระจายตัวไปสู่การซื้อขายสุทธิในดัชนีของตลาดตราสารอนุพันธ์ด้วย ทำให้การพิจารณาต้องเพิ่มความซับซ้อนมากขึ้นไปด้วย

ในเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้ มีปรากฏการณ์จากตลาดหุ้นระดับโลกอย่างนิวยอร์ก ยูโรโซน และเซี่ยงไฮ้ ที่จะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยให้ต้องจับตาทั้งทางบวกและลบ

– การเพิ่ม QE ของธนาคารกลางสหภาพยุโรปเป็นผลทางบวก

– การขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ยังไม่ชัดเจนว่าจะเป็นผลบวกหรือลบ หรือจะแปรผันอย่างอื่น เช่น ผลลบในระยะสั้นแล้วเป็นบวกในระยะกลางหรือยาว

– การกวาดล้างบ้านของตลาดหุ้นจีน ด้านหนึ่งจะส่งผลเสียทันที แต่ในระยะยาวตลาดจะแข็งแกร่งมากขึ้นเพราะเศรษฐกิจจีนจะดีขึ้นและมีคนละเมิดกติกาตลาดน้อยลง

ปรากฏการณ์จากภายนอกเหล่านี้ จะถูกเชื่อมโยงเข้ากับโค้งสุดท้ายของตลาดหุ้นไทย ที่มีปัจจัยภายในให้ต้องติดตามกันต่อไปอย่างน่าติดตาม โดยเฉพาะหุ้นที่เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม

ไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ผลประกอบการที่ถดถอยลงของบริษัทจดทะเบียน สะท้อนภาพความล้มเหลวของเศรษฐกิจไทยในการแข่งขันกับต่างประเทศที่ถดถอยลง โดยเฉพาะการส่งออกที่ยังไม่มีท่าฟื้นตัวเลย

บริษัทจำนวนน้อยที่ผลประกอบกอบการ “เอาชนะตลาด” หลายบริษัทเกิดจากโมเดลธุรกิจที่โดดเด่นของตนเองที่เกิดจากปัจจัยจำเพาะ เช่น 

1) ความสามารถในการแย่งส่วนแบ่งการตลาดในขณะที่ขนาดของตลาดหดตัวลง เช่น กรณีของ PLANB

2) ความสามารถในการสร้างช่องทางธุรกิจใหม่เพิ่มรายได้และกำไร เช่น กรณีของ BIG หรือ SAWAD หรือ MTLS

3) ความสามารถในการสร้างโมเดลธุรกิจที่ไร้คู่แข่ง เช่น กรณีของ FSMART หรือ TASCO

4) ความสามารถในการควบคุมบริหารจัดการภายในที่ทำให้อัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้น เช่น กรณีของ SCC หรือ IRPC

ตัวอย่างของบริษัทที่เอาชนะตลาดในด้านผลประกอบการ อาจจะเป็นกรณีพิเศษแต่ก็ชี้ให้เห็นว่าอย่างน้อยที่สุด “ภาพทั่วไป” หรือ “ปัจจัยภายนอก” ของตลาดหุ้นนั้นมีสิ่งที่ซ่อนมุมมองให้นักลงทุนต้องใคร่ครวญและมองหาโอกาสในการลงทุนกับพอร์ตโฟลิโอของตนเองไม่ไหลไปตามกระแสโลกาภิวัตน์หรือคำชี้แนะของนักวิเคราะห์ที่ไม่ใช่ศาสดาคนใหม่ของโลกแน่นอน

ท่ามกลางการต่อสู้ทางนโยบายของผู้บริหารเฟดว่าควรจะขึ้นดอกเบี้ยหรือไม่หรือธนาคารกลางยุโรปควรจะอัดฉีด QE มากน้อยเท่าใดหรือธนาคารกลางญี่ปุ่นควรอัดฉีดด้วยหรือไม่หรือมาตรการแทรกแซงตลาดหุ้นของรัฐจีนจะยังมีต่อไปมากแค่ไหน

ท่ามกลางความเปราะบางของการปรับดุลยภาพทางเศรษฐกิจภายในที่ยังไม่ลงตัวเป็นปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่อทิศทางตลาดทั้งสิ้นแต่นั่นไม่ใช่ปัจจัยชี้ขาด

ปัจจัยชี้ขาดที่แท้จริงของตลาดหุ้นไทยจากนี้ไปอยู่ที่ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนเป็นสำคัญ

หลายคนมองว่าตราบใดที่ค่าพี/อีของตลาดหุ้นไทยยังคงแพงที่ระดับ 24 เท่าคงยากที่จะทำให้ต่างชาติกลับเข้ามาง่ายๆแต่นั่นเป็นมุมมองที่ฉาบฉวยเกินไปเพราะเมื่อใดที่มีการประเมินว่าพี/อีล่วงหน้าของตลาดหุ้นไทยจะต่ำลงความเชื่อมั่นจะกลับมาอีกครั้งไม่ยากเย็น

ที่น่าสนใจอย่างมากกลับเป็นท่าทีของผู้จัดการกองทุนในประเทศที่เป็นกองทุน LTF ซึ่งตามปกติแล้วช่วงนี้คือจังหวะของการเข้าซื้อแต่กลับไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเลยปล่อยให้กองทุนอื่นและต่างชาติขายเป็นว่าเล่นประหนึ่งว่าหุ้นไทยนั้นหมดเสน่ห์เหมาะสำหรับเล่นตลาดล่วงหน้าขาลงอย่างเดียว

ท่าทีเช่นนี้ถือเป็นท่าทีที่สะท้อนถึงความหมกมุ่นในตัวเองของกองทุนทั้งหลายอาจจะเป็นเพราะว่าปีนี้กองทุนส่วนใหญ่พากันขาดทุนค่อนข้างหนักก็เป็นได้ทำให้ความฮึกเหิมหดหายไปหมดสิ้นถูกความกลัวเข้าครอบงำ

ตลาดหุ้นที่ผู้เล่นคนสำคัญของตลาดอย่างกองทุนและรายย่อยมีลักษณะหวาดระแวงต่ออนาคตเข้มข้นตลาดนั้นย่อมยากจะฟื้นตัวเพราะมุมมองที่เห็นแต่อุปสรรคไม่เห็นโอกาสจะบังสายตาจนฝ้าฟางเสียหมด

ไม่รู้จะอ้างอะไรในการขายตัดขาดทุนก็อ้างกระแสโลกาภิวัตน์ลูกเดียวง่ายดี

 

 

Back to top button