BEAUTY เซ็นสัญญาพันธมิตรอินโดฯ เปิดสาขาใหม่ จ่อขยายช่องทางขายสินค้าผ่าน 7-11

BEAUTY เซ็นสัญญาพันธมิตรอินโดฯ เปิด Shop in Shop เล็งขยายเป็น 21 สาขาในปีนี้ ตั้งงบลงทุนปีนี้ 190 ลบ. ใช้เปิดสาขาทั้งใน-ตปท. วางแผนขยายช่องทางการจำหน่ายผ่าน 7-11 เพิ่มอีก 900 สาขาทั่วประเทศ


นายแพทย์สุวิน ไกรภูเบศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ BEAUTY เปิดเผยว่า เมื่อเดือน ม.ค.59 ที่ผ่านมา บริษัทได้เซ็นสัญญาตัวแทนจำหน่ายกับตัวแทนจำหน่ายในประเทศอินโดนีเซียเรียบร้อยแล้ว ในรูปแบบของ Shop in Shop ทำให้ปัจจุบันมีสาขา Shop in Shop ในอินโดนีเซีย จำนวน 15 สาขาและมีแผนเปิดเพิ่มอีก 6 สาขาในปีนี้

โดยบริษัทตั้งงบลงทุนปี 59 ไว้ที่ 190 ล้านบาท แบ่งเป็น ลงทุนเปิดสาขาใหม่ 100-110 ล้านบาท และใช้ในโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการเติบโตในอนาคต 70-80 ล้านบาท พร้อมทั้งนำไปพัฒนาและสร้างแนวความคิดผลิตภัณฑ์ใหม่ รวมไปถึงพัฒนาช่องทางอีคอมเมิร์ซ ในการจัดจำหน่ายสินค้าเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างทั่วถึง

ขณะที่บริษัทมีแผนขยายสาขาเพิ่มขึ้นทั้งในและต่างประเทศ โดยปัจจุบันมีสาขาทุกแบรนด์รวม 316 สาขา ทั้งนี้ปี 59 มีแผนจะเพิ่มสาขา BEAUTY BUFFET จำนวน 30 สาขา BEAUTY COTTAGE จำนวน 15 สาขา และ BEAUTY MARKET จำนวน 5 สาขา ส่วนตลาดต่างประเทศ มีแผนขยายสาขาที่เป็น Independent shop จำนวน 18 สาขา จากปัจจุบัน 32 สาขา กระจายอยู่ในกลุ่มประเทศ CLMV คือ กัมพูชา 7 สาขา ลาว 2 สาขา เมียนมา 2 สาขา และเวียดนาม 21 สาขา

นอกจากนั้น บริษัทมีการขยายช่องทางการจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมผ่านร้านสะดวกซื้อเซเว่น-อีเลฟเว่น (7-11) จำนวน  900 สาขาทั่วประเทศ เมื่อช่วงปลายไตรมาส 3/58 จากจำนวนสาขา 7-11 ที่มีจำนวนสาขากว่า 7,000 แห่ง  ซึ่งผลตอบรับจากผู้บริโภคเป็นไปในทิศทางที่ดี เชื่อว่าช่องทางจำหน่ายใหม่ดังกล่าวจะส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทมียอดขายเพิ่มมากยิ่งขึ้น จากการหาซื้อผลิตภัณฑ์ได้ง่ายของผู้บริโภค

ขณะเดียวกันบริษัทยังได้ดำเนินการขยายช่องทางจำหน่ายผ่าน Modern Trade,Traditional Trade  และออนไลน์เต็มรูปแบบ เพื่อตอบสนองพฤติกรรมของผู้บริโภคที่มีการเปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างมาก มีการใช้ช่องทางออนไลน์ในการเลือกซื้อสินค้าทุกประเภทมากขึ้น ซึ่งในปีที่ผ่านมา BEAUTY ได้ทดลองจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ต่างๆ ผ่านทาง Facebook และเว็บไซต์ต่างๆ พบว่ามีกระแสตอบรับดีเป็นอย่างมาก  ดังนั้นในปีนี้บริษัทจึงวางเป้าหมายที่จะรุกตลาดออนไลน์อย่างต่อเนื่อง คาดว่าจะเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่มีรายได้เติบโตก้าวกระโดด

 “บริษัทตั้งเป้ารายได้ปีนี้ไว้ไม่ต่ำกว่า 2.1 พันล้านบาทเติบโตอย่างน้อย 20% จากปีก่อน และรักษาอัตรากำไรสุทธิไว้ที่ระดับไม่ต่ำกว่า 20% ของรายได้รวม เนื่องจากเห็นสัญญาณเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มฟื้นตัว ประกอบกับบริษัทมีช่องทางการขายในประเทศและต่างประเทศเพิ่มขึ้น ผลิตภัณฑ์ได้รับความนิยมจากกลุ่มลูกค้า ซึ่งเป็นผลจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและตรงต่อความต้องการของเทรนด์แฟชั่นไลฟ์สไตล์”นายแพทย์สุวิน กล่าว

Back to top button