CHEWA ยืนไหวไหม?

หุ้นน้องใหม่มักได้รับความนิยมแค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆ เพราะนักลงทุนชอบลองของใหม่มากกว่าของเก่า ส่งผลให้หุ้นตัวนี้มีมูลค่าการซื้อขายที่ค่อนข้างหนาแน่น ซึ่งคล้ายกับกรณีของหุ้น GTB หรือบริษัท เจตาแบค จำกัด (มหาชน) ที่เข้ามาจกทะเบียนในตลาด mai ก่อนหน้านี้ครับ


สภาแมงเม่า: ดร.สมชาย

 

คุณสุภาภรณ์ จาก อ.เมือง จ.เชียงใหม่ เล่าถึงประเด็นของหุ้น CHEWA หรือ บริษัท ชีวาทัย จำกัด (มหาชน) เป็นอะไรที่เข้าใจได้ยากมากๆ เพราะในหมู่เพื่อนที่ลงทุนด้วยกันมองว่า ในระยะยาวคงยืนระยะไม่ไหว เพราะการแข่งขันของธุรกิจค่อนข้างรุนแรง และทุกวันนี้ยังไม่รู้เลยว่า บริษัทนี้มีจุดแข็งอยู่ตรงไหน จึงอยากให้อาจารย์ช่วยประเมินสถานการณ์ของหุ้นตัวนี้ด้วยค่ะ

 

หากถามว่า อาจารย์รู้สึกอย่างไรกับหุ้น CHEWA หรือ บริษัท ชีวาทัย จำกัด (มหาชน) ในช่วงที่ผ่านมา และในอนาคตมองหุ้นตัวนี้อย่างไร?

อาจารย์คงตอบว่า หุ้นน้องใหม่มักได้รับความนิยมแค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆ เพราะนักลงทุนชอบลองของใหม่มากกว่าของเก่า ส่งผลให้หุ้นตัวนี้มีมูลค่าการซื้อขายที่ค่อนข้างหนาแน่น ซึ่งคล้ายกับกรณีของหุ้น GTB หรือบริษัท เจตาแบค จำกัด (มหาชน) ที่เข้ามาจกทะเบียนในตลาด mai ก่อนหน้านี้ครับ

สิ่งที่น่าเป็นห่วงสำหรับ CHEWA อยู่ที่ความสามารถในการทำกำไรจะดีขึ้นขนาดไหน?

หากตีความจากคำให้สัมภาษณ์ที่มีออกมาก่อนหน้านี้ว่า ผลการดำเนินงานในปี 2558 มีความโดดเด่นอย่างเห็นได้ชัด เพราะมีรายได้รวม 1,429.94 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 217.8% จากปี 2557 ที่มีรายได้รวม 449.81 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 83.22 ล้านบาท พุ่งขึ้น 92.59% จากปี 2557 ที่มีกำไรสุทธิ 43.21 ล้านบาท

เนื่องจากรายได้จากการขายและโอนอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมียอดขายคอนโดมิเนียมที่รอโอนกรรมสิทธิ์ (Backlog) ณ 31 ธันวาคม 2558 จำนวน 321 ยูนิต มูลค่ารวม 949 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในปี 2559-2560

นั่นหมายความว่า มีการส่งสัญญาณให้นักลงทุนรู้ว่า ผลการดำเนินงานในปี 2559 น่าจะโดดเด่นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งทำให้อาจารย์ขอตั้งสมมุติฐานว่า รายได้และกำไรเติบโต 100%  ซึ่งจะให้รายได้ขึ้นไปแตะระดับ 3 พันล้านบาท และกำไรสุทธิขึ้นไปยืนที่ 160 ล้านบาท และเมื่อนำมาหากำไรต่อหุ้น โดยเอาจำนวนหุ้นจดทะเบียน 750 ล้านหุ้นมาหารกำไรสุทธิ ก็จะได้กำไรต่อหุ้น(EPS) 0.21 บาท

เมื่อนำค่าดังกล่ามาเทียบเคียง P/E ที่ระดับ 20 เท่า (ให้เท่ากับ SET) ราคาเป้าหมายปี 59 จะอยู่ที่ 4.20 บาท ซึ่งเป็นมุมมองที่ดีแบบสุดโต่งเกินไป

หากปรับตัวอัตราส่วนดังกล่าวลงมา พร้อมกับให้อัตราการเติบโตปี 59 ที่ระดับ 50%  ก็ทำให้รายได้ขยับขึ้นไปอยู่ที่ 2,100 ล้านบาท และกำไรสุทธิจะอยู่ที่ระดับ 120 ล้านบาท ขณะที่กำไรต่อหุ้น(EPS) ก็จะอยู่ที่ 0.16 บาท

เมื่อนำค่าดังกล่ามาเทียบเคียง P/E ที่ระดับ 20 เท่า (ให้เท่ากับ SET) ราคาเป้าหมายปี 59 จะอยู่ที่ 3.20 บาท ซึ่งเป็นมุมมองด้านบวกลดหลั่นลงมานิดหนึ่ง แต่ยังเป็นแนวความคิดที่เว่อร์เกินไปอยู่ดี

สุดท้ายหากมองบนสมมุติฐานอัตราการเติบโตปี 59 ที่ระดับ 20%  ก็ทำให้รายได้ขยับขึ้นไปอยู่ที่ 1,700 ล้านบาท และกำไรสุทธิจะอยู่ที่ระดับ 100 ล้านบาท ขณะที่กำไรต่อหุ้น(EPS) ก็จะอยู่ที่ 0.13 บาท

เมื่อนำค่าดังกล่ามาเทียบเคียง P/E ที่ระดับ 20 เท่า (ให้เท่ากับ SET) ราคาเป้าหมายปี 59 จะอยู่ที่ 2.60 บาท ซึ่งเป็นมุมมองที่พอจะเป็นไปได้อยู่บ้าง แต่เรื่องจริงจะเป็นแบบนี้ไหม นักลงทุนต้องคิดกันเอาเอง

สรุปคือ ไม่มีใครรู้เรื่องจริงจะเป็นเช่นไร และสิ่งที่อาจารย์พูดถึงก็เป็นแนวคิดด้านบวกอย่างเดียว ขณะที่เรื่องจริงๆ ก็รู้กันดีว่า ธุรกิจอสังหาฯ ไม่ได้เฟื่องฟูเหมือนเมื่อก่อน ซึ่งจะทำให้หลายอย่างเป็นตรงกันข้ามกับสิ่งที่เกริ่นนำในข้างต้นก้ได้นะครับ

Back to top button