เจาะ 4 หุ้นราคาไม่ถึง 10 บ. ต่ำบุ๊กแวลู่-พีอีต่ำ พ่วงพื้นฐานแกร่ง

เปิดโผ 4 หุ้นราคาไม่ถึง 10 บาท/หุ้น ชูราคาปัจจุบันต่ำบุ๊กแวลู่-พีอีต่ำ พ่วงพื้นฐานยังแข็งแกร่ง แถมมีเงินปันผลตอบแทน


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” สำรวจข้อมูลบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ข้อมูล ณ วันที่ 25 มิ.ย. 2564 โดยคัดกรองหุ้นที่ราคาต่ำ 10 บาท แล้วยังมีราคาปัจจุบันซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี (BV) รวมถึงมีอัตราส่วนราคาตลาดต่อกำไรสุทธิ (P/E) ต่ำกว่า 15 เท่า ประกอบกับค่า P/BV ต่ำกว่า 1 เท่า และยังมีอัตราเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) แก่นักลงทุนอีกด้วย ที่สำคัญหุ้นดังกล่าวยังมีปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุน

โดยหุ้นที่มีคุณสมบัติดังกล่าวข้างต้น เบื้องต้นจากการสำรวจพบว่ามีหลักทรัพย์ดังนี้ SMIT, TK, NCH และ IRPC เป็นต้น

บริษัท สหมิตรเครื่องกล จำกัด (มหาชน) หรือ SMIT โดย ณ วันที่ 25 มิ.ย.2564 ราคาหุ้นปิดอยู่ที่ 4.42 บาท ซึ่งยังต่ำกว่ามูลค่าหุ้นทางบัญชีต่อหุ้นอยู่ที่ 4.57 บาท รวมทั้งค่า P/E เพียง 13.78 เท่า และค่า P/BV เพียง 0.97 เท่า ประกอบกับมีการจ่ายเงินปันผลคิดเป็นอัตราผลตอบแทนระดับ 5.88%

ส่วนทางด้านปัจจัยพื้นฐานมีข้อมูลจากบทวิเคราะห์ บล.โกลเบล็ก คงประมาณการรายได้ปี 2564 ที่ระดับ 1,922.9 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 15.1% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ตามความต้องการเครื่องจักรที่เริ่มกลับมา โดยเฉพาะลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (คิดเป็นสัดส่วนราว 53.8% ของยอดขาย) และปรับอัตรากำไรขั้นต้นขึ้น เป็น 33% จากเดิม 30% เนื่องจากมีการปรับราคาสินค้าบางรายการขึ้น สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ส่งผลให้ปรับประมาณการกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 20.1% สู่ระดับ 222.20 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 50.8% จากงวดเดียวกันของปีก่อน

บริษัท ฐิติกร จำกัด (มหาชน) หรือ TK โดย ณ วันที่ 25 มิ.ย.2564 ราคาหุ้นปิดอยู่ที่ 9.50 บาท ซึ่งยังต่ำกว่ามูลค่าหุ้นทางบัญชีต่อหุ้นอยู่ที่ 10.92 บาท รวมทั้งค่า P/E เพียง 13.03 เท่า และค่า P/BV เพียง 0.87 เท่า ประกอบกับมีการจ่ายเงินปันผลคิดเป็นอัตราผลตอบแทนระดับ 4.42%

ส่วนปัจจัยพื้นฐานมีปัจจัยบวกด้วยหากข้อมูล นางสาวปฐมา พรประภา กรรมการผู้จัดการ TK เปิดเผยว่า ยังคงเดินหน้าตามกลยุทธ์ทางธุรกิจในการเพิ่มสัดส่วนลูกหนี้ในตลาดต่างประเทศและลูกหนี้ในประเทศเป็น 50:50 ได้ในปี 2565 ควบคู่กับการมองหาโอกาสใหม่ ๆ ในการขยายธุรกิจภายในประเทศ เช่น การลงทุนในธุรกิจใหม่อย่างการดำเนินธุรกิจการเป็นนายหน้าประกันวินาศภัยนิติบุคคล ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการรอรับใบอนุญาตฯ โดยคาดว่าจะได้รับใบอนุญาตและจัดตั้งบริษัทใหม่เพื่อดำเนินธุรกิจดังกล่าวได้ภายในไตรมาส 3/2564

ขณะเดียวกันบริษัทเพิ่งได้รับอนุมัติจากธนาคารแห่ง สปป. ลาว ให้เปิดสาขาเพิ่มได้อีก 3 สาขา ในปากเซ เชียงขวาง และอุดมชัย ส่งผลให้ TK จะมีจำนวนสาขาใน สปป.ลาว เพิ่มจาก 3 สาขา เป็น 5-6 สาขา ภายในสิ้นปี 2564 นับว่าเป็นการเติบโตของจำนวนสาขาแบบก้าวกระโดดเป็นเท่าตัว โดยใน สปป. ลาว ตลาดเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก เนื่องจากสภาวะการแข่งขันในประเทศยังไม่รุนแรง

ด้าน นายประพล พรประภา กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ TK เปิดเผยเกี่ยวกับความคืบหน้าในการดีลการซื้อกิจการ Myanmar Finance International Limited (MFIL) ผู้ให้บริการสินเชื่อในเมียนมาว่า ขณะนี้ยังคงอยู่ในขั้นตอนการเจรจา เนื่องจากมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ประกอบกับสถานการณ์ความไม่สงบทางการเมืองในเมียนมา ส่งผลกระทบกับดีลดังกล่าว โดยเฉพาะเรื่องของราคาการซื้อขายกิจการ และการส่งบุคลากรเดินทางเข้าไปทำงาน จึงจำเป็นต้องชะลอดีลดังกล่าวไว้ รอจนกว่าสถานการณ์ต่าง ๆ กลับมาสู่ภาวะปกติ

ทั้งนี้กิจการในกัมพูชา ที่ผ่านมามีการชัตดาวน์จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้รายได้ในไตรมาสแรกลดลงเป็นครั้งแรก จากเดิมที่เติบโตเฉลี่ย 55% ต่อเนื่องมากว่า 5 ปี อย่างไรก็ตามในส่วนของลูกหนี้เช่าซื้อในไตรมาสแรกยังสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.5% หลังจากปรับตัวลดลงในปีก่อน 16%

ขณะที่ TK ยังมั่นใจและมองเห็นโอกาสของตลาดเช่าชื้อรถจักรยานยนต์ในกัมพูชา กล่าวคือ สภาวะการแข่งขันในกัมพูชาที่ยังไม่สูงนัก อีกทั้งสัดส่วนการซื้อสด เช่าซื้อ ตัวเลขจำนวนรถจักรยานยนต์ต่อจำนวนประชากร เศรษฐกิจของประเทศที่ยังเติบโตได้ดี พร้อมเชื่อมั่นว่าวัคซีนจะเป็นเป็นตัวแปรสำคัญที่จะช่วยคลี่คลายสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในทุกประเทศ

อย่างไรก็ตาม TK พร้อมเข้าควบรวมกิจการ (M&A) รวมทั้งเปิดรับโอกาสการขยายกิจการในธุรกิจใหม่ ๆ ที่เข้ามา ทั้งในประเทศและต่างประเทศได้ทันที ณ ไตรมาส 1/2564 โดย TK มีเงินสดในมือ 1,606.0 ล้านบาท

บริษัท เอ็น. ซี. เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ  NCH โดย ณ วันที่ 25 มิ.ย.2564 ราคาหุ้นปิดอยู่ที่ 1.66 บาท ซึ่งยังต่ำกว่ามูลค่าหุ้นทางบัญชีต่อหุ้นอยู่ที่ 2.22 บาท รวมทั้งค่า P/E เพียง 11.03 เท่า และค่า P/BV เพียง 0.75 เท่า ประกอบการจ่ายเงินปันผลคิดเป็นอัตราผลตอบแทนระดับ 2.41%

ส่วนปัจจัยพื้นฐานมีปัจจัยบวกด้วยหากข้อมูล นายสมนึก ตันฑเทอดธรรม กรรมการผู้จัดการ NCH เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 2/2564 คาดเป็นบวกจากยอดจอง (Booking) ที่สะสมมาจากไตรมาส 1/2564 ประกอบกับยอดผู้เข้าชม (Walk) ยังอยู่ในระดับดี เนื่องจากบริษัทได้ทำการตลาดออนไลน์มากขึ้นเพื่อตอบโจทย์ลูกค้า

พร้อมกับบริษัทมีโครงการที่กำลังดำเนินการอยู่ทั้งหมด 12 โครงการ มูลค่ารวม 8,900 ล้านบาท ขายแล้ว 5,956 ล้านบาท มีโครงการพร้อมโอน (Inventory) มูลค่ารวม 2,944 ล้านบาท และมียอดขายรอโอน (Backlog) ที่รับรู้ไปแล้วในไตรมาส 1/2564 กว่า 890 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายรอโอน (Backlog) มูลค่ารวม 494 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้รายได้ในไตรมาส 2/2564 ถึงไตรมาส 3/2564

ขณะเดียวกันในปี 2564 บริษัทมีโครงการใหม่ทั้งหมด 7 โครงการ รวมมูลค่า 5,000 ล้านบาท โดยเปิดดำเนินการแล้ว 2 โครงการ มูลค่าประมาณ 1,200 ล้านบาท คือโครงการ Baan Fha Loft และโครงการ Baan Fha Time , ในเดือนมิถุนายนนี้จะเปิดตัวโครงการ Baan Fha Greenery Loft ที่พัทยา มูลค่า 320 ล้านบาท, ในไตรมาส 3/2564 จะเปิดอีก 2 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 2,000 ล้านบาท คือโครงการ NC On Green Charm 2 และโครงการ NC On Green Palm Park 2  นอกจากนี้อีก 2 โครงการที่เหลือจะทยอยเปิดตัวในช่วงไตรมาส 3/2564 ถึงไตรมาส 4/2564

อีกทั้งมีการเปิดโครงการใหม่ทั้งหมด 7 โครงการจะส่งผลให้บริษัทสามารถทำตามเป้ารายได้ที่ตั้งไว้ 2,000 ล้านบาท โดยในไตรมาส 1/2564 บริษัทสามารถทำรายได้แล้ว 44.54% และยังคงเป้ายอดขายที่ตั้งไว้ในช่วงต้นปีอยู่ที่ 3,200 ล้านบาท โดยในไตรมาส 1/2564 บริษัทสามารถทำยอดขายได้แล้ว 35.37%

ขณะที่ศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพทั้ง 3 แห่ง ลูกค้าได้มีการติดต่อผ่านช่องทางออนไลน์เพื่อเข้ารับบริการจำนวนมาก เนื่องจากเทรนด์เรื่องสุขภาพกำลังมาแรง ในขณะเดียวกันผู้ประกอบการที่สนใจลงทุนด้านสุขภาพร่วมกับทางบริษัท ได้ทำการติดต่อมาอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทยังอยู่ระหว่างการศึกษาเพิ่มเติม คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะเห็นความคืบหน้า

นอกจากนี้บริษัทยังอยู่ระหว่างการวางแผนขยายธุรกิจเชิงรุกด้วยตนเองในช่วงครึ่งปีหลังด้วย ส่วนแนวทางการพัฒนาที่ดินในเชียงใหม่ยังอยู่ระหว่างการศึกษาอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันบริษัทได้มองหาความร่วมมือด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านสุขภาพเพิ่มเติมจากทั้งในประเทศ และต่างประเทศด้วย

บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC โดย ณ วันที่ 25 มิ.ย.2564 ราคาหุ้นปิดอยู่ที่ 3.80 บาท ซึ่งยังต่ำกว่ามูลค่าหุ้นทางบัญชีต่อหุ้นอยู่ที่ 3.92 บาท รวมทั้งค่า P/E เพียง 9.32 เท่า และค่า P/BV เพียง 0.97 เท่า ประกอบกับมีการจ่ายเงินปันผลคิดเป็นอัตราผลตอบแทนระดับ 1.58%

ส่วนทางด้านปัจจัยพื้นฐานมีข้อมูลจากบทวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) มีการปรับประเมินการปี 2564 โดยขึ้นจากเดิมจากกำไรที่ดีกว่าคาดและแนวโน้มยังเป็นบวก เนื่องจากมีการคาดแนวโน้มการดำเนินงานปกติไตรมาส 2/2564 ยังดีต่อเนื่องจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ที่ยังอยู่ในระดับที่ดีโดยเฉพาะกลุ่มปิโตรเคมีที่ได้ผลบวกจากการทยอยฉีดวัคซีนในประเทศต่างๆ ส่งผลให้อุปสงค์กลับมาฟื้นตัว เช่นเดียวกับกลุ่มปิโตรเลียมจะได้ผลบวกจากการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น อีกทั้งการดำเนินงานในไตรมาส 1/2564 ที่ออกมาดีกว่าคาดทำให้ทางฝ่ายวิจัยปรับประมาณการขึ้นจากเดิม โดยปรับสมมติฐานราคาน้ำมันและ Market GIM ขึ้นจากเดิม ซึ่งทำให้มีการปรับกำไรสุทธิทั้งปี 2564 เพิ่มเป็น 10,458 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยจากปีก่อนขาดทุน 6,152 ล้านบาท

นอกจากนี้บริษัทตั้งเป้าจะผลิตสินค้ามูลค่าเพิ่มมากขึ้นเพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของราคาสินค้าที่ผลิตในปัจจุบัน โดยมีเป้าหมายจะเพิ่มสัดส่วนกลุ่มดังกล่าวให้เป็น 30% ในปี 2567 จากปีก่อนที่มีอยู่ 17% โดยจะเน้นการขายไปกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตสูงเช่น การแพทย์, รถยนต์, เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น ซึ่งในส่วนนี้ได้ขยายการลงทุนทั้งจากธุรกิจเดิมที่ดำเนินการอยู่โดยมีการขยายกำลังการผลิตกลุ่ม ABS 6,000 ตันต่อปี คาดจะผลิตได้ในปีนี้ รวมถึงการลงทุนร่วมกับ PTT เพื่อรวมกันสินค้าใหม่ “ผ้าไม่ถัก ไม่ทอ” (Non-woven Fabric) และวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ (Medical Consumables) คาดว่าบริษัทดังกล่าวจะสามารถดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ภายในไตรมาส 4/2564 ซึ่งจะช่วยเพิ่มกำไรให้บริษัทได้มากขึ้น

Back to top button