มาแล้ว! “สายพันธุ์เบตา” โผล่ กทม. เชื่อมโยงผู้ป่วย จ.นราธิวาส

อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ แถลงพบผู้ป่วยโควิด-19 สายพันธุ์เบตา ใน กทม. เป็นพ่อติดจากลูกชายที่มาจาก จ.นราธิวาส ย้ำหากสามารถควบคุมได้ ก็ถือว่าจบ เพราะแพร่กระจายไม่ได้รวดเร็วเท่าสายพันธุ์เดลตา (อินเดีย)


ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ 28 มิ.ย.2564 นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้แถลงถึงการเฝ้าระวังการกลายพันธุ์เชื้อไวรัสก่อโรคโควิด 19 ในประเทศไทย โดยชี้แจงกรณีที่พบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์เบตา (แอฟริกาใต้) ที่พบผู้ติดเชื้อรายแรกในกรุงเทพมหานคร ว่า ไม่ได้เจอในพื้นที่กรุงเทพมหานครเอง จากการสอบสวนโรค พบผู้ป่วยเมื่อวันที่ 23 มิ.ย.64 และมีการสรุปผลเมื่อวันที่ 25 มิ.ย.64  เป็นการติดเชื้อจากลูกชาย ที่เดินทางมาจาก จ.นราธิวาส  ซึ่งรายละเอียดของผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์เบตา (แอฟริกาใต้) รายนี้ ดังนี้

* ผู้ป่วยชายในพื้นที่กรุงเทพมหานครเป็นลูกจ้างในตลาดแห่งหนึ่ง เข้ารับการรักษาในรพ.

* ลูกชายเดินทางจาก จ.นราธิวาส มาเยี่ยม ไม่มีอาการ

* เมื่อเดินทางกลับไปที่ จ.นราธิวาส พบว่าไม่สบาย เมื่อไปตรวจพบว่าติดเชื้อโควิด-19 เข้ารับการรักษาใน รพ. ที่ จ.นราธิวาส

* ญาติอีก 2 คนในกรุงเทพมหานครติดเชื้อด้วย กำลังรอผลตรวจสายพันธุ์

* ส่วนเพื่อนร่วมงานที่ทำงานอยู่ในที่เดียวกับผู้ป่วยในกรุงเทพมหานครอีก 6-7 คน ไม่พบการติดเชื้อ

ทั้งนี้ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวด้วยว่า จากกรณีนี้เห็นความเชื่อมโยงของการติดเชื้อได้ชัดเจน  หากเราสามารถควบคุมได้ก็ถือว่าจบ  เพราะแพร่กระจายไม่ได้รวดเร็วเท่าสายพันธุ์เดลตา (อินเดีย)  แต่อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไม่ได้ห้ามการเดินทางอย่างเด็ดขาด ก็ต้องเฝ้าระวัง

สำหรับ สายพันธุ์เบตา (แอฟริกาใต้) ช่วงวันที่ 21-27 มิ.ย.64  ในพื้นที่ภาคใต้ พบ จ. นราธิวาส มากสุด 84 ราย , จ.ยะลา 2 ราย ,  จ.พัทลุง 1 ราย เชื่อมโยงกับโรงเรียนสอนศาสนา  ยอดสะสมอยู่ที่ 127 ราย

นายแพทย์ศุภกิจ ระบุว่า ที่เป็นห่วงคือ สายพันธุ์เดลตา ที่มีสัดส่วนเพิ่มมากขึ้น โดยในช่วง 1 สัปดาห์ (21-27 มิ.ย.64) สายพันธุ์เดลตา (อินเดีย) เพิ่มขึ้น 459 ราย รวม 1,020 ราย มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นมา 16.59% และ 1 ใน 3 มากที่สุด คือ กทม.  ส่วนในภูมิภาค เดลต้า ขยับเป็น 7.34% จาก 5.05% เพราะฉะนั้น ถ้ายังคงมีแนวโน้มแบบนี้ คาดว่าอีก 2-3 เดือนสายพันธุ์เดลตาในเขต กทม. อาจจะมากกว่าสายพันธุ์อัลฟา (อังกฤษ)

X
Back to top button