ส่อง 3 หุ้น “รับเหมา” ตุน Backlog อื้อซ่า งานรัฐล่าช้าไม่กระทบ!

ส่อง 3 หุ้น "รับเหมา" ตุน Backlog อื้อซ่า พร้อมทยอยรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง ปัญหางานรัฐฯ ล่าช้าไม่กระทบ!


ช่วงตั้งแต่ต้นปี 2564 ที่ผ่านมาหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่น ตามความคาดหวังที่ว่าเมื่อสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย หลังมีวัคซีนป้องกันการระบาดจะทำให้เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว และจะมีปัจจัยหนุนสำคัญจากโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของทางภาครัฐ

อย่างไรก็ดีสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทยกลับมารุนแรงยิ่งกว่าเดิม โดยปัจจุบันมียอดผู้ติดเชื้อระดับ 3,000-4,000 รายต่อวัน รวมถึงมีความล่าช้าของการบริหารจัดการวัคซีนให้กับประชาชน ตลอดจนการเบิกจ่ายงบประมาณและอนุมัติโครงการลงทุนต่างๆ จากภาครัฐ จนกระทั่งคำสั่งปิดแคมป์คนงานก่อสร้าง เพื่อการควบคุมการระบาดอย่างเข้มงวด ส่งผลให้หุ้นในกลุ่มรับเหมาได้รับผลกระทบทันที และมีแรงขายออกมาอย่างต่อเนื่องในระยะหลัง

ทั้งนี้ ทริสเรทติ้ง ระบุว่า แม้รัฐบาลจะมีนโยบายในการผลักดันการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่หลายโครงการ แต่พบว่ามีความล่าช้าในการเปิดประมูลและการลงนามในสัญญาอยู่เสมอ ด้วยสาเหตุนานัปการ เช่น การเปลี่ยนแปลงแผนแม่บทของโครงการ, ข้อพิพาทเกี่ยวกับขั้นตอนการประมูลงาน, ความล่าช้าในกระบวนการตัดสินใจของภาครัฐ หรือความล่าช้าในการเจรจาเกี่ยวกับเงื่อนไขของสัญญา เป็นต้น ขณะที่งานก่อสร้างภาคเอกชนยังคงซบเซา ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเพิ่มงานใหม่ของผู้ประกอบการในกลุ่มธุรกิจรับเหมาะก่อสร้าง

ส่วนทางด้าน นักวิเคราะห์ บล.บัวหลวง ระบุว่า การลงทุนในหุ้นกลุ่มรับเหมาฯ ช่วงนี้ต้องเน้นกลุ่มที่มีงานในมือ (Backlog) ระดับสูงเพียงพอต่อการรับรู้รายได้ให้ภาพรวมมีการเติบโตภายใน 1 – 2 ปีนี้ ระหว่างที่รอความชัดเจนและการเปิดประมูลโครงการต่างๆ ของภาครัฐที่จะทยอยออกมาปลายปีนี้

สำหรับหุ้นกลุ่มรับเหมาที่ยังคงมี Backlog ในระดับสูง สามารถทยอยรับรู้รายได้ได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้คาดการณ์ว่าจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ซึ่งในเบื้องต้นจากการสำรวจของผู้สื่อข่าวพบว่ามีหลักทรัพย์ดังนี้ CK, RT และ SEAFCO

โดย บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุว่า บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK มีงานในมือถึงระดับ 6 หมื่นล้านบาท หากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐเริ่มเปิดประมูล คาดว่าสิ้นปีนี้จะทำให้งานให้มือเพิ่มขึ้นแตะ 1 แสนล้านบาท และ 2 แสนล้านบาทในปีหน้า

ส่วนแนวโน้มช่วงที่เหลือของปี คาดว่ากำไรจะฟื้นตัวดีขึ้นจากการรับรู้งานในมือที่มีในปัจจุบัน แม้รายได้รวมทั้งปีจะลดลงเล็กน้อยจากปี 2563 แต่กำไรจะดีกว่า เนื่องจากจะรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัท เช่น บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM, บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKP และบริษัท ทีทีดับบลิว จำกัด (มหาชน) หรือ TTW ซึ่งคาดว่าจะมากกว่าปีก่อน

บริษัท ไร้ท์ทันเน็ลลิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ RT ระบุว่า  ณ สิ้นไตรมาส 1/2564 มีงานในมือแล้ว 3,213 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ถึงปี 66 และมีงานที่อยู่ระหว่างรอผลประมูลและรอเรียกลงนามสัญญารวมราว 1,200 ล้านบาท และพร้อมเข้าประมูลงานของทั้งภาครัฐและเอกชนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าจะมีโอกาสรับงานใหม่เพิ่มเติมอย่างมีนัยสำคัญ คาดสิ้นปี 64 จะมีงานในมือเพิ่มเป็นไม่ต่ำกว่า 7,000 ล้านบาท

โดยปัจจุบันสัดส่วนรายได้แบ่งตามประเภทงาน ประกอบด้วย งานก่อสร้างอุโมงค์และโครงสร้างใต้ดิน 55% งานสร้างเขื่อนและระบบชลประทาน 18% งานสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ 1% งานท่อร้อยสายไฟใต้ดิน 14% และงานอื่น ๆ 12% อาทิ งานเจาะสำรวจ งานปรับปรุงฐานราก งาน Slope Protection งานถนน เป็นต้น และแบ่งเป็นสัดส่วนรายได้ในประเทศ 93.93% และต่างประเทศ 6.07% ทั้งนี้ตั้งเป้าหมายรายได้ปี 64 จะเติบโต 20% จากปีก่อนที่ทำได้ 2,844 ล้านบาท

บริษัท ซีฟโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ SEAFCO ระบุว่า ปัจจุบันมีงานในมือ 1,616 ล้านบาท ส่วนใหญ่รับรู้รายได้ปีนี้ และอยู่ระหว่างรอผลประมูลอีกกว่า 2 พันล้านบาท เป็นงานภาคเอกชนกว่า 70% คาดหวังได้งานไม่ต่ำกว่า 600 ล้านบาท

นอกจากนี้อยู่ระหว่างเข้าร่วมประมูลโครงการรัฐที่คาดว่าจะเริ่มช่วงปลายปีนี้ เช่น รถไฟความเร็วสูง, รถไฟไทยจีน, ทางด่วน และรถไฟรางคู่ เป็นต้น

Back to top button