4 โบรกฯ เชียร์ “ซื้อ” TU ชี้ยอดขายพุ่ง-เงินบาทอ่อน หนุนกำไร Q2 ทะลุ 2 พันลบ.

4 โบรกฯ เชียร์ “ซื้อ” TU ชี้ยอดขายพุ่ง-เงินบาทอ่อนค่า  หนุนกำไรไตรมาส 2/64 ทะลุ 2 พันลบ. จับตาครึ่งปีหลังโตต่อ หลังตลาดยุโรป-สหรัฐฯ ฟื้น


บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) หรือ KTBST เปิดเผยว่า ได้ปรับกำไรสุทธิปี 2564 ของบริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU ขึ้น โดยประเมินกำไรปกติไตรมาส 2/2564 ที่ 1,885 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 25% จากงวดเดียวกันของปีก่อน, เพิ่มขึ้น 7% จากไตรมาสก่อนหน้า) เติบโตโดดเด่น จากงวดเดียวกันของปีก่อน จากฐานที่ต่ำในไตรมาส 2/2563 ที่มีการล็อกดาวน์ในสหรัฐอเมริกากระทบต่อผลการดำเนินงานของ Red Lobster อย่างมีนัยสำคัญ

ขณะที่เติบโต จากไตรมาสก่อนหน้า จากธุรกิจ frozen seafood ฟื้นตัวจากช่วง Low season ในช่วงไตรมาส 1/2564 และธุรกิจ Pet food เติบโตได้ดี และคาด gross margin ขยายตัวเป็น 18.2% จากไตรมาส 1/2564 ที่ 17.7% เป็นผลจากค่าเงินบาทอ่อนค่า พร้อมปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2564 ขึ้น เพิ่มขึ้น 9% อยู่ที่ 7,116 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น14% จากงวดเดียวกันของปีก่อน) และกำไรสุทธิปี 2565 ขึ้น เพิ่มขึ้น 9% อยู่ที่ 7,500 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น5% จากงวดเดียวกันของปีก่อน) ตามลำดับ จาก 1) ปรับ gross margin ขึ้นเป็น 17.5% จาก 16.8% จากค่าเงินบาทอ่อนค่า และ product mix 2) Net margin ของบริษัทมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก product mix ที่เปลี่ยนแปลง และ cost reduction program

ทั้งนี้ ราคาหุ้น outperform SET เพิ่มขึ้น 27% ใน 1 เดือนที่ผ่านมา และ เพิ่มขึ้น 53% ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา จากผลการดำเนินงาน ไตรมาส 1/2564 ที่ดีกว่าคาด คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 25 บาท จากแนวโน้มกำไรที่ยังดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะปี 2564 ที่ได้ปัจจัยสนับสนุนมาจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่า และแนวโน้มกำไรระยะยาว ที่จะเติบโตจากธุรกิจใหม่ที่มีอัตราการทำกำไรที่สูง และจะลดการพึ่งพิงธุรกิจที่อิงสินค้า commodity ดังนั้น ราคาหุ้นไม่ควรเทรดที่ discount valuation อีกต่อไป

ส่วนนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CGH เปิดเผยว่า งบการเงินในไตรมาส 2/2564 ของ TU ออกมาดูดีมาก แม้ว่าธุรกิจอาหารแปรรูปหรืออาหารกระป๋องอาจขายไม่ดี แต่หลังจากได้พูดคุยกับบริษัทพบว่า อาหารแช่แข็งกลับมามียอดขายดีขึ้น เนื่องจากฝั่งยุโรปและสหรัฐฯเปิดเมือง โดยเฉพาะสหรัฐ คนออกมาใช้ชีวิตตามปกติ หลังมีการฉีดวัคซีนมากขึ้น ทำให้ร้านอาหารกลับมาเปิด ซึ่งเชื่อมโยงกับยอดขายอาหารแช่แข็ง แม้ว่ามาร์จิ้นของอาหารแช่แข็งจะต่ำแต่สัดส่วนยอดขายมีอยู่สูง ทำให้มาร์จิ้นในไตรมาส 2/2564 ทรงตัวในระดับ 18.2% ใกล้เคียงกับไตรมาส 2/2563

ขณะที่ธุรกิจ Red Lobster ในไตรมาส 1/2564 เริ่มดีขึ้น และไตรมาส 2/2564 ร้านอาหารสามารถเปิดได้กว่า 90% แต่การนั่งทานในร้านยังไม่สามารถเปิดได้เต็มที่ ซึ่งทำให้ยังมีผลขาดทุนอยู่ แต่ขาดทุนลดลง คาดว่ามีผลขาดทุน 100-200 ล้านบาท

ส่วนแนวโน้มในช่วงครึ่งหลังปีนี้ ยังดูดี ทั้งอาหารกระป๋อง อาหารแช่แข็ง เพราะตลาดต่างประเทศทั้งยุโรป และสหรัฐฯ ฟื้นตัว และแม้ว่าจะเริ่มมีการระบาดโควิดสายพันธุ์เดลต้า แต่ต่างประเทศมีการฉีดวัคซีนได้มากน่าจะเป็นตัวป้องกันได้ดี

นอกจากนี้ ยังมีโรงงานที่ จ.สงขลา ซึ่งหยุดการผลิตไป 2 สัปดาห์ เพราะมีพนักงานติดเชื้อโควิด ได้กลับมาเปิดเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม ช่วงแรกใช้กำลังการผลิตไม่ถึง 50% และน่าจะกลับเข้าสู่การผลิตได้ตามเดิมในเดือน สิงหาคม 2564 ซึ่งส่วนนี้จะกระทบงบในไตรมาส 3/2564 และรายได้จากโรงงานที่สงขลามีสัดส่วนรายได้ราว 5% ถือว่าค่อนข้างต่ำ ขณะที่ค่าเงินบาทอ่อนค่ามากเป็นบวกต่อ TU

อย่างไรก็ตามจากกำไรสุทธิงวดไตรมาส 2/2564 ที่คาดว่าจะถึงระดับ 2,000 ล้านบาท ทำให้กำไรในช่วงครึ่งแรกปี 2564 มีลุ้นสูงถึง 3,800 ล้านบาท ส่วนในช่วงครึ่งหลังปี 2564 แม้ว่าจะมีฐานที่สูงแต่ด้วยผลดี จากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงจะช่วยชดเชยผลดังกล่าวได้ จึงปรับประมาณการปี 2564 ขึ้นจากเดิม 7% มาอยู่ที่ระดับ 7,025 ล้านบาท เติบโต 12% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และในปี 2565 คาดกำไรสุทธิ 7.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 7-8% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ดังนั้นจึงได้ประเมินมูลค่าพื้นฐานใหม่ที่ 24.10 บาท จากเดิมราคาพื้นฐาน 20.90 บาท

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด หรือ TRINITY เปิดเผยว่า ทางฝ่ายวิจัยได้คาดกำไรสุทธิในไตรมาส 2/2564 ที่ 2,018 ล้านบาท เติบโต 12% จากไตรมาสก่อนหน้า และ 25% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยคาดรายได้เติบโตราว 9% จากไตรมาสก่อนหน้า หลังเริ่มเข้า High Season ของธุรกิจ บวกกับยอดขายของธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งฟื้นตัวต่อเนื่องหลังการเปิดเมืองในหลายประเทศ ขณะที่ยอดขายอาหารทะเลกระป๋องอาจอ่อนตัวลงมาบ้างหลังจากช่วงที่มีการปิดเมืองได้รับอานิสงส์ค่อนข้างมาก ทั้งนี้แม้สัดส่วน Product mix ที่เปลี่ยนไปเป็นปัจจัยกดดันต่ออัตรากำไรขั้นต้นบ้าง แต่อัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งที่ฟื้นตัวด้วย ส่งผลให้ภาพรวมคาดอัตรากำไรขั้นต้นยังอยู่ในระดับสูงที่ 18.1%

สำหรับธุรกิจของ Red Lobster ฟื้นตัวแข็งแกร่งขึ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน หลังกลับมาเปิดสาขาให้บริการได้ แต่เทียบ จากไตรมาสก่อนหน้า อาจอ่อนตัวลงเนื่องจากปกติไตรมาสแรกเป็น High Season ของธุรกิจ ส่งผลให้เราคาดส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมจะอ่อนตัวลงจากไตรมาสก่อน

โดยหากกำไรงวดไตรมาส 2/2564 เป็นไปตามคาด จะทำให้กำไรครึ่งปีแรกคิดเป็นราว 59% ของกำไรทั้งปี 2564 ที่เดิมคาดไว้ที่ 6,522 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น7% จากงวดเดียวกันของปีก่อน) โดยแนวโน้มในช่วงที่เหลือของปียังดูสดใส ทั้งจากการฟื้นตัวของยอดขายอาหารทะเลแช่แข็ง การฟื้นตัวของธุรกิจ Red Lobster และการเติบโตของธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง ขณะที่ยอดขายธุรกิจอาหารทะเลกระป๋องแม้คาดว่าจะอ่อนตัวลงบ้างหลังหมดอานิสงส์ของการปิดเมือง แต่ยังเป็นระดับที่สูงเมื่อเทียบกับช่วงก่อนปิดเมือง

นอกจากนี้ภาพรวมอัตรากำไรขั้นต้นของทุกธุรกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี จึงปรับประมาณการกำไรปี 2564-65 ขึ้นราว 24% และ 9% จากประมาณการเดิม ขึ้นมาอยู่ที่ 8,079 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น29% จากงวดเดียวกันของปีก่อน) และ 7,579 ล้านบาท (-6.19% จากงวดเดียวกันของปีก่อน) ตามลำดับ และให้ราคาเป้าหมายใหม่ 23 บาทจากการปรับประมาณการ อิงวิธี DCF แม้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมา แต่ยังพอมี Upside จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”

ด้านนางสาวสุทธาทิพย์ พีรทรัพย์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ MBKET เปิดเผยว่า ในช่วงล็อกดาวน์กลุ่มอาหาร เช่น TU เป็นตัวเลือกที่ดี โดยเฉพาะอาหารกระป๋อง ทั้งนี้ แนวโน้มกำไรสุทธิของ TU ในไตรมาส 2/2564 ทำได้ดีกว่าที่คาดไว้ โดยคาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 1,910 ล้านบาท เติบโต 7% จากไตรมาสก่อนหน้า และโต 25% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้น หรือมาร์จิ้นทำได้ดีมาที่ 18% จากเดิมอยู่ระดับ 15-16% ในปีก่อน ซึ่งมาร์จิ้นได้ทรงตัวระดับนี้ในไตรมาส 1/2564 ที่ระดับ 17.7% เนื่องจากควบคุมต้นทุนได้ดีและราคาวัตถุดิบปลาทูน่ายังต่ำ ซึ่งเน้นขายสินค้าที่มีกำไรดี

ขณะที่ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงเติบโตดีต่อเนื่อง ซึ่งอาหารสัตว์เลี้ยงมีมาร์จิ้นสูงในไตรมาส 2/2564 ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า และเข้าสู่ไฮซีซั่นของการขาย อาหารทะเลแช่แข็งมียอดขายฟื้นตัวสูงจากการที่ร้านอาหารในสหรัฐฯ กลับมาเปิดมากขึ้นหลังจากการเปิดเมือง

นอกจากนี้ Red Lobster ที่ TU ถือ 25% ของปีนี้ ซึ่งคาดการณ์ว่าปีนี้ยังขาดทุน แต่ลดลงมากกว่า 50% จากปีก่อนที่ขาดทุน 1,200 ล้านบาท โดยค่อย ๆ ดีขึ้นจากปรับการบริหารจัดการ ค่าเช่า ก็ค่อย ๆ ดีขึ้น ไตรมาส 1/2564 พลิกเป็นกำไร และเป็นช่วงที่ขายดี และไตรมาส 2/2564 ก็คาดยังขาดทุน แต่ลดลงจากปีก่อน เพราะร้านอาหารในสหรัฐให้มานั่งทานที่ร้านได้กว่า 97% คนกลับมาใช้ชีวิตนอกบ้านมากขึ้น

โดยแนวโน้มกำไรยังแข็งแกร่งต่อในไตรมาส 3/2564 ที่เป็น Peak Season และเงินบาทอ่อน ธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งเป็นทิศทางขาขึ้น และธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงเติบโตดีตาม Demand ที่เพิ่มขึ้นและการออกสินค้าใหม่ๆ ที่มีอัตรากำไรสูง ขณะที่ Red Lobster มีสัญญาณการฟื้นตัวที่ยั่งยืนมากขึ้นหลังการปรับโครงสร้างธุรกิจทำให้ต้นทุนและค่าใช้จ่ายลดลง อีกทั้งยอดขายฟื้นตัวจากการเปิดร้านให้นั่งทานได้แล้วกว่า 97% ของจำนวนร้านทั้งหมด จะทำให้แนวโน้มกำไรปีนี้อาจดีกว่าที่คาด

อย่างไรก็ตาม มองว่าปีนี้ น่าจะทำให้ได้ดีกว่าที่ประมาณการไว้ อาจทบทวนปรับประมาณการขึ้น การประเมินมูลค่าหุ้นได้ปรับแล้ว เพราะเห็นทิศทางธุรกิจแข็งแกร่ง แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 22.10 บาท

Back to top button