เปิดโผ 27 หุ้นกำไร Q2 โตแกร่ง โบรกฯอัพเป้าสูง – อัพไซด์เฉียด 70%

"บล.ฟินันเซีย" คัด 27 หุ้นลุ้นโชว์กำไรไตรมาส 2/64 โตแกร่ง พร้อมแนะ "ซื้อ" ชูเป้าสูง - อัพไซด์สูงสุดเฉียด 70%


เริ่มเข้าสู่ช่วงประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/64 ของบริษัทจดทะเบียน “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงได้ทำการรวบรวมบริษัทจดทะเบียนที่นักวิเคราะห์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ประเมินว่า จะรายงานผลการดำเนินงานออกมาเติบโตอย่างโดดเด่น ดังนี้

GLOCON : แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 1.50 บาท อัพไซด์ 21%

โดยคาดไตรมาส 2/64 พลิกมีกำไรเป็นตัวเลข 2 หลักได้ครั้งแรกในรอบ 9 ปีที่ 10 ล้านบาท จากขาดทุนในไตรมาส 1/64 และไตรมาส 2/63 จากรายได้ทื่ฟื้นตัว โดยเฉพาะการ Lockdown ทำให้ EZYGO เป็นสินค้าขายดีของ 7-11 Delivery ขณะที่ผลการดำเนินงานกำลังเข้าช่วง Turnaround รอบใหญ่ ทั้งการรุกธุรกิจ RTE & Frozen Food รวมถึงการขยายตลาดใหม่อย่าง Plant Based Food และกัญชง คาดกำไรปี 2565-67 โตเฉลี่ย 64% CAGR

 

TOP : แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 74 บาท อัพไซด์ 68%

โดย TOP เข้าลงทุนใน Chandra Asri Petrochemical ซึ่งใหญ่สุดในอินโดนีเซียสัดส่วน 15.4% ด้วยเงินลงทุน US$1.18 พันล้าน มองบวกทั้งในแง่เชิงกลยุทธ์ซึ่งรับกับ CFP Project ของ TOP เป็นบวกต่อด้าน Capacity และ Market Expansion และคาดได้ส่วนแบ่งกำไรหนุนราว 1-1.2 พันล้านบาทต่อปี หลังจากเข้าทำรายการเสร็จในไตรมาส 4/64 เงินทุนจะมาจากทั้งการขายหุ้น GPSC และเพิ่มทุน

 

SCC : แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 496 บาท อัพไซด์ 20%

โดยกำไรสุทธิไตรมาส 2/64 ดีกว่าคาด โต 15% จากไตรมาสก่อน, โต 83% จากปีก่อนจากธุรกิจ Packaging และปิโตรเคมีที่ีโดดเด่นส่วนธุรกิจซีเมนต์ชะลอเล็กน้อยจาก Demand ในประเทศที่ลดลง

 

WINMED : แนะนำ “เก็งกำไร” ราคาเป้าหมาย 7.80 บาท อัพไซด์ 5%

โดย WINMED เป็นตัวแทนจำหน่ายชุดตรวจ Biocredit Covid-19 Antigen จากเกาหลีและได้รับการตอบรับดีมาก และเตรียมออกผลิตภัณฑ์สำหรับตรวจเชื้อ COVID-19 แบบ Fully automated high-throughput molecular diagnostic system น้ำยาตรวจชีวโมเลกุล COVID-19 Aptima SARS-CoV-2 Assay

รวมถึงเตรียมนำเข้าชุดตรวจ Antigen Test Kit ที่ตรวจได้ด้วยตัวเอง ซึ่งอยู่ระหว่างรอขึ้นทะเบียน คาดออกจำหน่ายปลายไตรมาส 3/64 คาดกำไรไตรมาส 2/64 โต 5% จากไตรมาสก่อน, โต 175% จากปีก่อน และจะเร่งขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง แต่ทั้งปียังถูกกระทบจาก COVID-19

 

SONIC : แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 6.50 บาท อัพไซด์ 25%

คาดกำไรไตรมาส 2/64 ลดลง 4% จากไตรมาสก่อน ชะลอเล็กน้อยเพราะบริษัทไม่ได้ผลักต้นทุนค่าระวางที่สูงขึ้นให้ลูกค้าทั้งหมด แต่โต 485% จากปีก่อน จากรายได้ที่เดินหน้าทำ new high จากปริมาณส่งออกนำเข้าที่เร่งตัวขึ้น พร้อมทั้งค่าระวางเรือที่สูงต่อเนื่อง ส่วนแนวโน้มไตรมาส 3/64 คาดยังโตต่อเนื่องและลุ้นทำจุดสูงสุดใหม่จากค่าระวางเรือตู้คอนเทนเนอร์ที่ยังไต่ระดับขึ้นอย่างต่อเนื่อง คาดกำไรปี 2564 โต 150% จากปีก่อน

 

SCGP : แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 76 บาท อัพไซด์ 10%

โดย SCGP ประกาศกำไรไตรมาส 2/64 โต 6% จากไตรมาสก่อน และโต 19% จากปีก่อน แข็งแกร่งตามคาดจากรายได้ธุรกิจบรรจุภัณฑ์และเส้นใยที่แข็งแกร่ง และได้อานิสงส์จากการเข้าลงทุนกิจการใหม่ๆ ตั้งแต่ปีก่อน โดยยังมองบวกต่อกลยุทธ์ M&P ซึ่งจะหนุนการเติบโตระยะกลาง-ยาว คาดกำไรปี 2564-65 โต 52% จากปีก่อน และโต 29% จากปีก่อน ตามลำดับ

 

TTA : แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 18 บาท อัพไซด์ 15%

แนวโน้มกำไรไตรมาส 2/64 ดีกว่าที่เคยคาดมาก เพราะค่าระวางเรือเทกองเฉลี่ยไตรมาส 2/64 โต 54% จากไตรมาสก่อน, โต 366% จากปีก่อน ขณะที่ธุรกิจเรือเช่าน่าจะมีกำไรจนหักล้างผลขาดทุนในไตรมาส 1/64 ได้ จึงคาดกำไรไตรมาส 2/64 โต 181% จากไตรมาสก่อน และพลิกจากขาดทุนในไตรมาส 2/63 หากเป็นไปตามคาดกำไรงวดครึ่งปีแรกจะคิดเป็น 84% ของประมาณการทั้งปี โดยจะปรับประมาณการหลังประชุมนักวิเคราะห์กลางเดือนหน้า

 

ORI : แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 10.10 บาท อัพไซด์ 17%

คาดกำไรปกติไตรมาส 2/64 โต 3% จากปีก่อน และโต 6% จากปีก่อน ดีกว่าที่เคยคาด หนุนจากส่วนแบ่ง JV และรายได้บริหารโครงการที่เร่งขึ้น ขณะที่โมเมนตัมในช่วงครึ่งปีหลังจะโดดเด่นขึ้น ยังคาดกำไรปกติปีนี้โต 14% จากปีก่อน มี Upside จุดเด่นคือ PE ที่ต่ำเพียง 6.5 เท่าและ Dividend Yield 6-8%

 

JWD : แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 18 บาท อัพไซด์ 10%

เข้าลงทุน 36% ใน Smilesun ผ่านบริษัทย่อยคือ JTS (JWD ถือ 75%) โดย Smilesun เป็นผู้ถือหุ้นใน ESCO ซึ่งบริหารท่าเทียบเรือ B3, B1, A0 ในท่าเรือแหลมฉบัง มีศักยภาพในการเติบโตด้วยกำไรระดับ 300+/- ล้านบาท ของ Smilesun ทำให้ประมาณการกำไรของ JWD มี upside ราว 12-14% สร้างมูลค่าเพิ่มอีกราว 2 บาท

 

IRC : แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 24 บาท อัพไซด์ 33%

คาดกำไรไตรมาส 3/64 (เม.ย.-มิ.ย.64) พลิกจากขาดทุน แต่ -35% จากไตรมาสก่อน จาก Low season ส่งผลให้รายได้และ Margin ลดลง และไม่มีปันผลจากบริษัทร่วม ส่วนแนวโน้มไตรมาส 4/64 ควรดีขึ้นแต่มีความเสี่ยงจากการระบาดของ COVID-19 ที่หนัก จุดเด่นยังคงเป็น Valuation ที่ถูกโดย PE และ PBV ที่ต่ำเพียง 9.4 เท่าและ 1 เท่า รวมถึงเป็น Net Cash Company และให้ Dividend yield 5.4%

 

SPALI : แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 26 บาท อัพไซด์ 23%

คาดกำไรไตรมาส 2/64 โต 105% จากไตรมาสก่อน, โต 262% จากปีก่อน โดดเด่นจากการโอน 2 คอนโดใหม่ รวมถึงหนุน Gross Margin ปรับตัวขึ้น ขณะที่ช่วงครึ่งปีหลังคาดกำไรเร่งตัวและได้รับผลกระทบจำกัดจากการปิดแคมป์คนงาน คาด SPALI จะมีกำไรปี 2564-65 เติบโตโดดเด่นสุดในกลุ่มที่ +45% จากไตรมาสก่อน และ +7% จากปีก่อน ตามลำดับ

 

XO : แนะนำ “เก็งกำไร” ราคาเป้าหมาย 22 บาท อัพไซด์ 1%

คาดกำไรไตรมาส 2/64 อาจเป็นจุดสูงสุดของปีนี้ +31% จากไตรมาสก่อน, +50% จากปีก่อน จากคำสั่งซื้อที่แข็งแกร่งรายได้ทำจุดสูงสุดใหม่และใช้กำลังการผลิตเต็ม เป็นบวกต่อ Margin อย่างไรก็ตาม คาดกำไรอ่อนตัวในช่วงครึ่งปีหลังจากรายได้ที่เริ่มชะลอ โดยปรับเพิ่มกำไรปี 2564 ขึ้นเป็น +44% จากปีก่อน และคาดกำไรปี 2565 โต 2% จากปีก่อน

 

SAPPE : แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 36 บาท อัพไซด์ 41%

คาดกำไรไตรมาส 2/64 เติบโตโดดเด่น +36% จากไตรมาสก่อน, +42% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้จะมีการระบาดของ COVID19 แต่รายได้ในประเทศยังทรงตัวและการส่งออกเติบโตอย่างน่าประทับใจ ส่วน Utilization Rate ที่สูงช่วยหักล้างต้นทุน Pet Resin ที่ปรับขึ้น คาดโมเมนตัมกำไรจะทำจุดสูงสุดของปีในไตรมาส 3/64 จาก High Season และการส่งออกที่ยังดูสดใสต่อเนื่อง รวมถึง SAPPE มีแผนออกสินค้าใหม่ซึ่งจะเป็นแรงหนุน ยังคาดกำไรปี 2564 โต 26% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ด้านราคาหุ้นยังเทรด PE เพียง 17 เท่า ต่ำกว่ากลุ่มซึ่งเทรดราว 25 เท่า

 

BCPG : แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 23 บาท อัพไซด์ 57%

คาดกำไรไตรมาส 2/64 แข็งแกร่ง +20% จากไตรมาสก่อน, +78% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากโรงไฟฟ้าพลังน้ำที่โดดเด่น และเป็นปัจจัยผลักดันการเติบโต การปิดซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพที่น้อยลง รวมถึงโรงไฟฟ้าลมในฟิลิปปินส์และโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ในไทยที่ดีขึ้น ขณะที่การเติบโตระยะยาวรองรับด้วยการเพิ่มทุนและเข้าซื้อธุรกิจแบตเตอรี่ใน VRB และโรงไฟฟ้าลมในลาว คาด EPS ปี 2564 +17% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนและ Flat จากช่วงเดียวกันของปีก่อนในปี 2565

 

MEGA : แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 48 บาท อัพไซด์ 21%

คาดกำไรไตรมาส 2/64 +2% จากไตรมาสก่อน, +12% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จาก Demand ที่แข็งแกร่ง ทั้งธุรกิจจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ Maxxcare และธุรกิจแบรนด์ Mega We Care ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงเป็นตลาดหลักและเป็นภูมิภาคที่แบรนด์ MEGA มีความแข็งแกร่ง สถานการณ์ COVID-19 ที่ยังหนักในหลายประเทศทั่วโลกทำให้คนใส่ใจดูแลสุขภาพมากขึ้นในระยะยาว คงประมาณการกำไรปี 2564 +7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนและปี 2565 +12% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

 

NSL : แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 19 บาท อัพไซด์ 10%

แนวโน้มกำไรไตรมาส 2/64 ทำ New High +11% จากไตรมาสก่อน, +107% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากแซนวิชอบร้อนที่เป็นสินค้าขายดีของบริการ Delivery ของ 7-11 และดีกว่าผลการดำเนินงานโดยรวมของ CPALL ที่ถูกกระทบจาก COVID-19 ส่วนมาตรการ Lockdown เดือน ก.ค. ล่าสุดไม่กระทบ โดยสินค้าในกลุ่มเบเกอรี่ยังคงขายดี ประมาณการกำไรปี 2564-2565 ที่คาด +49% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนและ +21% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนตามลำดับมี Upside ราว 4-5%

 

GFPT : แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 14 บาท อัพไซด์ 10%

คาดกำไรไตรมาส 2/64 กลับมาฟื้นตัว +157% จากไตรมาสก่อน จากการฟื้นตัวของรายได้ส่งออกทางอ้อมที่ขายให้กับ McKey ส่วน Gross Margin เริ่มฟื้นสู่ระดับสองหลักอีกครั้ง รวมถึงบริษัทร่วมมีกำไรดีขึ้น ประเมินแนวโน้มกำไรช่วงครึ่งปีหลังจะฟื้นตัวได้ต่อเนื่องจาก High Season ของการส่งออก และราคาวัตถุดิบที่ผ่านจุดสูงสุดแล้ว รวมถึงอยู่ระหว่างเตรียม Commercial Run สายการผลิตไก่ปรุงสุก 3 สาย คาดเริ่ม Operate ได้ในปลายไตรมาส 3/64 ปรับลดกำไรปกติปี 2564 ลงเป็น –35% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนแต่จะกลับมาโตแรงในปี 2565 +60% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนกลับไปใกล้เคียงปี 2562

 

EKH : แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 9.20 บาท อัพไซด์ 15%

แนวโน้มกำไรไตรมาส 2/64 โดดเด่น +41% จากไตรมาสก่อน และพลิกจากขาดทุนปีก่อน หนุนจากการระบาดของ COVID-19 ระลอก 3 ทั้งรายได้และ Margin ที่เติบโต โมเมนตัมกำไรไตรมาส 3/64 คาดทำ New High จากจำนวนผู้ติดเชื้อที่พุุ่งขึ้นทำให้มีการเพิ่มจำนวนเตียงและล่าสุดรับผู้ป่วยเต็ม 400-500 เตียง ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2564- 2565 ขึ้นเป็น +128% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนและ +2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนตามลำดับ

 

UPA : แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย  0.60 บาท อัพไซด์ 54%

เข้าซื้อหุ้น GTG 96.49% มูลค่า 2.8 พันล้านบาท โดยเพิ่มทุน PP เพื่อแลกหุ้น และเพิ่มทุนให้ผู้ถือหุ้นเดิมสัดส่วน 4:1 ที่ราคา 0.33 บาท รวมทั้งแจก UPA-W2 ให้ผู้ถือหุ้นเดิมสัดส่วน 5:1 เงินที่ได้จาก RO 1.5 พันล้านบาท และหาก UPA-W2 ใช้สิทธิทั้งหมดอกี 2.2 พันล้านบาท สำรองสำหรับการลงทุนในโครงการเดิมหรือโครงการใหม่ๆ ในอนาคต โดยมองการซื้อ GTG เป็นบวก เพราะเป็นการเพิ่มแหล่งรายได้จากปัจจุบันที่รายได้หลักมาจากโรงไฟฟ้าในไทยและเวียดนาม และ GTG เป็นผู้ประกอบการกัญชา-กัญชงที่ครบวงจรและมีศักยภาพสูง มีสายพันธุ์เป็นของตนเองชื่อ RAKSA การรวมกิจการคาดแล้วเสร็จภายใน ธ.ค. นี้

 

SNNP : ราคาเป้าหมายเฉลี่ย 13.90 บาท อัพไซด์ 26%

เป็นผู้นำในตลาดขนมขบเคี้ยวและเครื่องดื่มแบรนด์ดัง เช่น เจเล่ เบนโตะ ขาไก่ โลตัส เมจิกฟาร์ม และน้ำวิตามิน Aquavitz มีโรงงานในไทย 4 แห่ง และกัมพูชา 1 แห่ง สัดส่วนขายในประเทศ : ส่งออก 78%:22% ตลาดส่งออกหลักคือ CLMV และอยู่ระหว่างขยายไปในตลาดจีน ยุโรป ออสเตรเลีย และสหรัฐ รวมถึงก่อสร้างโรงงานในเวียดนาม คาดเริ่มผลิตได้ปี 2566 บริษัทมีรายได้และกำไรปี 2563 ที่ 4.3 พันล้านบาท และ 94 ล้านบาท ตามลำดับ โดยตั้งเป้ารายได้ใน 5 ปีข้างหน้าโตเฉลี่ย +12% CAGR เป็น 8 พันล้านบาทในปี 2569 ทั้งนี้ Consensus ประเมินกำไรปี 2564 โตสูง +366% และปี 2565 +4% และให้ราคาเป้าหมาย เฉลี่ย 13.90 บาท (SNNP ยังไม่ได้อยู่ Coverage ของฟินันเซีย)

 

CHG : แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 4.40-4.50 บาท อัพไซด์ 7%

แนวโน้มกำไรไตรมาส 2/64 คาดทำ New High ตามกลุ่มฯ จากอานิสงส์ของ COVID-19 ระลอก 3 หนุนรายได้ตรวจเชื้อและรักษาให้พุ่งขึ้น ขณะที่รายได้ประกันสังคมยังเป็นฐาน Cash Cow ที่แข็งแรง ล่าสุด CHG มี Capacity ในการักษารวมกว่า 2,800 เตียง (Hospital 300+ เตียงและ Hospitel 2,500+ เตียง คาดกำไรไตรมาส 3/64 ยังเร่งขึ้นทำ New High ต่อเนื่อง และทำให้ประมาณการกำไรปี 2564 ที่คาด +26% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมี Upside อย่างมาก และอยู่ระหว่างปรับเพิ่มราคาเป้าหมาย

 

DTAC : แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 40 บาท อัพไซด์ 6%

กำไรปกติไตรมาส 2/64 ดีกว่าคาด +21% จากไตรมาสก่อน, -24% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการควบคุมต้นทุน ซึ่งชดเชยรายได้ที่ยังหดตัวได้พร้อมประกาศจ่ายปันผลครึ่งปีแรกที่ 1.05 บาท/หุ้น คิดเป็น Dividend Yield 3.5%

 

DITTO : แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 21 บาท อัพไซด์ 31%

ผู้บริหารให้เป้าเชิงบวก โดยคาดรายได้โต 10-15% ในปี 2564 โดยเฉพาะแรงหนุนจากบริการแปลงเอกสารและข้อมูลเป็นดิจิทัล ปัจจุบันมี Backlog 650 ล้านบาท รองรับการเติบโตในช่วงครึ่งปีหลัง และแนวโน้มได้งานเพิ่มเติมที่อยู่ระหว่างประกวดราคาจากศาลยุติธรรมและ กรมที่ดิน และงาน SCADA รวมวงเงินกว่า 1 พันล้านบาท ระยะสั้นคาดกำไรไตรมาส 2/64 -28% จากไตรมาสก่อน, +16% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และจะเร่งขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง คาดกำไรปี 2564-2565 +38% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนและ +36% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนตามลำดับ

 

IIG : แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 31 บาท อัพไซด์ 16%

จาก Corporate Day ผู้บริหารให้เป้าเชิงบวก โดยยังคงเป้ารายได้ปีนี้ 700 ล้านบาท +27% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และคาด 3 ปีข้างหน้าจะแตะ 2,000 ล้านบาท จากการเติบโตที่โดดเด่นทั้งธุรกิจ CRM ERP รวมถึงธุรกิจใหม่ๆ อย่าง CEM Data Analytic และ JV Digital Insurance ระยะสั้นกำไรไตรมาส 2/64 คาดแข็งแกร่ง +19% จากไตรมาสก่อน, +29% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเร่งตัวทุกๆไตรมาสของปีนี้ ยังคงประมาณการกำไรปี 2564-2566 +31% CAGR ไม่รวม Upside จากดีล M&A

 

NEX : แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 12 บาท อัพไซด์ 25%

ยังคงมุมมองการ Turnaround และการเติบโตของกำไรในปี 2564-2566 โดย NEX จะเริ่มส่งมอบ e-Bus 120 คันในเดือน ก.ค.และอีก 400-500 ใน ช่วงครึ่งปีหลัง ภายใต้ AAB (JV) และระยะยาวจะเป็นผู้ทำตลาด กระจายและบริการหลังการขายสำหรับรถ EV ให้กับ EA รวมถึงปัจจุบันยังไม่มีคู่แข่งในประเทศจากกำแพงภาษีนำเข้า

 

BCH : แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 28 บาท อัพไซด์ 7%

คาดกำไรไตรมาส 2/64 โดดเด่น +132% จากไตรมาสก่อน, +170% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทำ New High จากผลบวกจากการตรวจเชื้อและรักษาผู้ป่วย COVID-19 ขณะที่แนวโน้มไตรมาส 3/64 คาดยังเดินหน้าทำ New High ต่อเนื่อง ขณะที่ Rapid Antigen Test คาดไม่กระทบอย่างมีนัยยะ ส่วนไตรมาส 4/64 ได้แรงหนุนจากการฉีดวัคซีน Moderna ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2564-2565 ขึ้นเป็น +91% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ -26% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนตามลำดับ

 

GPSC : แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 110 บาท อัพไซด์ 43%

มองบวกต่อการเข้าลงทุนใน Avaada ในสัดส่วน 41.6% ซึ่งทำธุรกิจ Solar Farm ขนาด 3.7 GW ด้วยเงินลงทุน 1.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือว่าไม่แพงหากพิจารณาเงินลงทุน 10 ล้านบาท/MW โดยแหล่งเงินทุนมาจากระแสเงินสดภายใน โดยหลังจากรวม Avaada จะมีกำลังการผลิตทั้งสิ้น 6.6 GW และเป็นพลังงานทดแทนราว 2.15 GW ซึ่งเป็นบวกระยะยาว ส่วนในแง่กำไรคาดดีลนี้เป็นบวกต่อ EPS ปีนี้ราว 3.7% ปรับกำไรปี 2564-2565 ขึ้นเล็กน้อยเป็น +32% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนและ +8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนตามลำดับ

Back to top button