คัด 18 หุ้นโบรกอัพเป้า – กำไรโต การันตีผลงานครึ่งปีหลังแกร่ง!

คัด 18 หุ้นเด่น โบรกอัพเป้าใหม่ - ปรับประมาณกำไรปี 64 โต การันตีผลงานครึ่งปีหลังแกร่ง!


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการรวบรวมข้อมูลและบทวิเคราะห์ เกี่ยวกับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยที่มีแนวโน้มผลประกอบการในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 เติบโตอย่างแข็งแกร่ง รวมถึงเป็นหุ้นที่นักวิเคราะห์ปรับเพิ่มราคาเป้าหมาย และปรับประมาณการกำไรสุทธิ สะท้อนภาพรวมผลการดำเนินงานที่เติบโต ดังนี้

1.บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ KCE

โดยบล.เอเชีย เวลท์ จำกัด ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2564-2565 ขึ้น 14% และ 19% เป็น 2,476 ล้าน บาท และ 2,937 ล้านบาท (เดิม 2,166 ล้านบาทและ 2,461 ล้านบาท) ตามลำดับ โดยปรับอัตรากำไรขั้นต้นปี 2564-2565 เป็น 29% และ 30.2% (เดิม 27.8% และ 28.5%) ตามลำดับ จากผลการดำเนินงานที่ดีกว่าคาด และการใช้กำลังการผลิตเต็มกำลัง

พร้อมกันนี้ มีมุมมองเป็นบวกต่อธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง หนุนจากคำสั่งซื้อที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาส 4/64 และอัตรากำไรอยู่ในระดับสูง ทั้งนี้บริษัทประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 0.60 บาทต่อหุ้น ขึ้นเครื่องหมาย XD 23 ส.ค. 64 และจ่ายเงินปันผลวันที่ 8 ก.ย. 64 แนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมายใหม่ที่ 95.00 บาท อิง PER ที่ 38 เท่า

2.บริษัท โรงพยาบาลจุฬารัตน์ จำกัด (มหาชน) หรือ CHG

โดยบล.เอเชีย เวลท์ จำกัด มีแนวโน้มปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2564 เพิ่ม 25-30% จากเดิม สะท้อนผลการดำเนินงานที่ดีกว่าคาด รวมถึงอัตรากำไรที่ทำได้สูง นับเป็นปีที่ได้ประโยชน์จากสถานการณ์ การแพร่ระบาดของ COVID-19 ขณะที่ไตรมาส 3/64 ยังมีโมเมนตัมเชิงบวกต่อเนื่องจากปัจจัยฤดูกาลที่เป็นช่วง High Season ของธุรกิจ รวมถึงการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ยืดเยื้อเป็นปัจจัยสนับสนุนผลประกอบการให้เติบโต

ทั้งนี้ บริษัทประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 0.03 บาทต่อหุ้น ขึ้นเครื่องหมาย XD 23 ส.ค. และจ่ายเงินปันผล 10 ก.ย. แนะนำ “เก็งกำไร” ให้ราคาเป้าหมาย 4.40 บาท อิงวิธี DCF (WACC อยู่ที่ 7% และ Terminal growth rate อยู่ที่ 3%)

3.บริษัท เอเชี่ยนซี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ASIAN

โดย บล.คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) คาดการกำไรไตรมาส 3/64 ยังเติบโตได้ต่อเนื่องจากอุปสงค์อาหารสัตว์เลี้ยงและอาหารแช่แข็งที่ดีต่อเนื่อง แบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงเริ่มเติบโต และคาดมีกำลังการผลิตเพิ่มอีกในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2564 – ไตรมาส 1/65

พร้อมปรับประมาณกำไรปี 2564-65 ขึ้นราว 30% สะท้อนอุปสงค์อาหารสัตว์เลี้ยงที่แข็งแกร่ง และอัตตรากำไรที่ดีขึ้น โดยคงคำแนะนำ “ซื้อ” และปรับมูลค่าพื้นฐานขึ้นเป็น 22 บาท อิง PE ปี 2564 ที่ 16.5 เท่า

4.บริษัท ทีทีดับบลิว จำกัด (มหาชน) หรือ TTW

โดย บล.คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า ผลประกอบการของ TTW จะเติบโตต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 สนับสนุนจากแนวโน้มผลประกอบการจากโรงไฟฟ้าของ CKP ที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ธุรกิจหลักยังคงอ่อนตัวจากการแพร่ระบาดของโควิด ซึ่งกระทบทั้งลูกค้าภาคอุตสาหกรรมและภาคครัวเรือน โดยแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 15.30 บาท

5.บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL

โดย บล.คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า ผลประกอบการในไตรมาส 3/64 กำไรปกติของบริษัทจะดีขึ้นทั้งจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และไตรมาสก่อน ด้วยแรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการก่อสร้างและให้บริการ (แบ็กล็อก 1 หมื่นล้านบาท) และการรับรู้กำไรเต็มไตรมาสจากโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 121Mwe ที่เริ่ม COD มาตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2563

6.บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO

โดย บล.คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ประเมินว่ากำไรปกติในไตรมาส 3/64 จะเพิ่มขึ้น ทั้งจากปีก่อน และไตรมาสก่อน จากยอดขายไฟฟ้าในประเทศที่สูงขึ้นตามฤดูกาล และการรับรู้กำไรจากโรงไฟฟ้าก๊าซ Linden (USA) ที่เพิ่มเข้ามาตั้งแต่ไตรมาส 2/64 และผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของ XPCL ที่มีปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนที่สูงขึ้น พร้อมแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 220 บาท

7.บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKP

โดย บล.คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า กำไรของบริษัทในไตรมาส 3/64 จะเพิ่มขึ้นแตะจุดสูงสุด โดยจะสูงขึ้นทั้งจากปีก่อน และไตรมาสก่อน ด้วยแรงหนุนจากรายได้ที่สูงขึ้นจากโครงการพลังน้ำใน สปป.ลาว ตามปัจจัยฤดูกาล นอกจากนี้นับตั้งแต่ในไตรมาส 3/64 เป็นต้นไป CKP จะรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก XPCL เพิ่มเติมตามสัดส่วนการถือหุ้นที่เพิ่มขึ้น 5% (ไตรมาส 3/64 บริษัทถือหุ้นใน XPCL ที่ 42.5%) พร้อมคงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 6.40 บาท

8.บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI

โดย บล.คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า ผลประกอบการในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 จะเพิ่มขึ้น 14% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากโครงการที่จะก่อสร้างแล้วเสร็จและรับรู้รายได้กว่า 1.78 หมื่นล้านบาท และแบ็กล็อกโครงการแนวราบกว่า 5.7 พันล้านบาท พร้อมกันนี้ คงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 10.3 บาท อิง PE ปี 2565 ที่ 7.5 เท่า ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยของ Top 10 ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ในประเทศไทย

9.บริษัท เอสไอเอส ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SIS

โดย บล.คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า กำไรในงวดไตรมาส 3/64 จะเติบโตต่อเนื่องจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากสินค้ามือถือแบรนด์ Xiaomi ที่ยังมีอุปสงค์เติบโตดีต่อเนื่อง และกลุ่มที่มีอัตรากำไรสูงอย่าง interprise (11% ของรายได้รวมในไตรมาส 2/64) ยังคงเติบโตตามความต้องการขององค์กรที่ปรับตัวเข้าสู่ระบบดิจิตอล พร้อมแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 42 บาท

10.บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) หรือ SAPPE

โดย บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ ปรับราคพื้นฐานขึ้นเป็น 34 บาท แนะนำ ซื้อ ทั้งนี้ แม้ว่าแนวโน้มไตรมาส 3/64 จะทรงตัวจากปีก่อน จากในประเทศชะลอตัว แต่จะดีขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนตามตลาดส่งออกที่ฟื้นตัว อีกทั้งเป็นช่วงไฮซีซั่นของส่งออก ทางฝ่ายวิจัยเลยปรับประมาณการกำไร และราคาพื้นฐานขึ้นเล็กน้อย

11.บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ WORK

โดย บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ ปรับคำแนะนำขึ้นเป็น ซื้อ ราคาพื้นฐานปี 65 ที่ 25.25 บาท จากกำไรไตรมาส 2/64 ที่ดี จึงปรับคาดการณ์กำไรปีนี้ขึ้นเป็น 458 ล้านบาท และปี 65 ที่ 531 ล้านบาท อีกทั้งประกาศจ่ายปันผล 0.20 บาท ขึ้น XD วันที่ 24 ส.ค.นี้

ขณะที่มองว่าในช่วงไตรมาส 3/64 ยังเจอแรงกดดันจากการแพร่ระบาดที่รุนแรงและยาวนาน ซึ่งมีผลต่อรายได้ แต่ด้วยการควบคุมค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างดี จะเป็นตัวช่วยพยุงให้ยังมีกำไรได้ดีอยู่

12.บริษัท เอกชัยการแพทย์ จำกัด (มหาชน) หรือ EKH

โดย บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ ปรับราคาพื้นฐานขึ้นเป็น 10.20 บาท แนะนำ ซื้อ มองแนวโน้มไตรมาส 3/64 กำไรทำนิวไฮจากจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น, ขยายเตียงผู้ป่วยโควิดเป็น 300 เตียง, โรงพยาบาลสนาม 220 เตียง และฮอสพิเทล 60 เตียง รวมถึงรายได้จากการให้บริการฉีดวัคซีน ซิโนฟาร์ม และไตรมาส 4/64 จะทยอยรับรู้รายได้วัคซีนทางเลือก “โมดอร์น่า” เข้ามา ทางฝ่ายปรับกำไรทั้งปีขึ้นเป็น 232 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 222.1% เทียบกับปีก่อน

13.บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU

โดยบล.เอเชีย เวลท์ จำกัด คาดผลประกอบการช่วงครึ่งหลังของปี 2564 แข็งแกร่งต่อเนื่อง แม้คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะอ่อนตัวลงจากไตรมาส 2/64 แต่ธุรกิจยังได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า โดยมีสัดส่วนรายได้จากสหรัฐฯ และยุโรปคิดเป็น 43% และ 30% ของยอดขายทั้งหมด ตามลำดับ และยังมีดีมานด์ที่แข็งแกร่ง ทั้งอาหารทะเลแช่แข็งและอาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่ม

รวมถึงการฟื้นตัวของ Food Service ในสหรัฐฯ จากการเร่งฉีดวัคซีนให้ประชากร เป็นปัจจัยสนับสนุนยอดขายธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งให้เติบโต ขณะที่ร้านอาหาร Red Lobster ยังเป็นไปตามแผนการดำเนินงาน ซึ่งสามารถเปิดให้บริการได้แล้ว 100% และเปิดบริการเพิ่มเป็น 95% ของที่นั่งทั้งหมดในร้าน (เดิม 50%) โดยทั้งปีตั้งเป้าส่วนแบ่ง ขาดทุน 200-300 ล้านบาท (เดิมคาดส่วนแบ่งขาดทุน 600 ล้านบาท พร้อมแนะนำ “เก็งกำไร” ให้ราคาเป้าหมาย 24.00 บาท อิง PER 16 เท่า

14.บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) หรือ BCPG

โดยบล.เอเชีย เวลท์ จำกัด คาดผลประกอบการไตรมาส 3/64 ยังแข็งแกร่งต่อเนื่อง ทั้งจากไตรมาสก่อน และจากปีก่อน จาก High season ของ โรงไฟฟ้าพลังน้ำในประเทศลาว และโรงไฟฟ้าพลังงานลมในประเทศ โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าพลังน้ำในประเทศลาวที่ยังได้ประโยชน์จากปริมาณน้ำที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจากการเข้าฟังผู้บริหาร ในการ Conference call วานนี้ (10 ส.ค.) เชื่อว่า Capacity Factor ของโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ในประเทศลาวจะสูงกว่าไตรมาส 2/64 ที่ 41% อย่างมีนัยสำคัญ

รวมทั้งปัจจัยบวกจากการอ่อนค่าของค่าเงินบาท ปัจจัยบวกดังกล่าวเพียงพอชดเชยรายได้จากโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ ที่เข้า สู่ Low season ขณะที่กำลังผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ในประเทศที่เพิ่มขึ้น จากการรับรู้ 4 โครงการ รวมกำลังผลิต 20 เมกกะวัตต์ ที่เริ่มรับรู้ ส.ค. 63 เป็นปัจจัยหนุน การเติบโตจากปีก่อน

ทั้งนี้ คาดผลประกอบการยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจากการทยอยรับรู้กำลังผลิตที่เพิ่มขึ้นจากการ ขยายการลงทุนต่อเนื่องจากปี 2563 ถึงปี 2564 ขณะที่ในช่วงไตรมาส 4/64 บริษัทจะมีการรับรู้โครงการโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์เพิ่มอีก 3 โครงการในญี่ปุ่น ทำให้ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อการเติบโตของผลประกอบการ ทำให้ยังคงแนะนำ “ซื้อ” ปรับใช้ราคาเป้าหมายในปี 2564 ที่ 19 บาท

15.บริษัท พรีเชียส ชิพปิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSL

โดย บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุว่า ขณะนี้ปรับประมาณการกำไรปี 64-65 ขึ้น 18.8% และ 15.5% ตามลำดับ หลังผู้บริหารได้เผยประเด็นที่น่าสนใจว่า กลุ่มเรือ Handysize และ Supramax ของ PSL เป็นกลุ่มเรือที่มีความเสี่ยงด้านอุปทานที่ต่ำ เพราะในตลาดเรือกลุ่มนี้มีเรืออายุมากกว่า 20 ปีใกล้ปลดระวางกว่า 9.0-13.5% ของกองเรือโลก และจะสูงถึง 14.3-17.8% ในปี 2566

ขณะที่คำสั่งต่อเรือใหม่มีเพียง 2.7-5.8% เท่านั้น ดังนั้นโอกาสการเกิดอุปทานส่วนเกินใน 3 ปีนี้ มองว่าเป็นไปได้ยาก ขณะที่อุปสงค์การขนส่งสินค้าแห้งเทกองทางทะเลยังคงเดินหน้าขยายตัว 4.3% ปีนี้ และ 2.2% ในปีหน้า (ที่มา Clarkson) ขณะที่ระยะสั้นดัชนี BDI ปัจจุบันยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยไตรมาส 2/64 ราว 14.0% กอปรกับฤดูกาลขนส่งกำลังรออยู่ในไตรมาส 4 เหมือนทุกปี ทำให้ทิศทางครึ่งปีหลังจะสดใส จึงปรับปรุงสมมติฐานค่าระวางปี 2564-65 ขึ้น 5.3% ขณะที่ต้นทุนคงที่ส่วนใหญ่เท่าเดิม ส่งผลให้กำไรปี 2564-65 ถูกยกขึ้น 18.8% และ 15.5% ตามลำดับ

นอกจากนี้ฝ่ายวิจัย Roll-over ไปใช้ราคาเหมาะสมปี 2565 โดยการอิง P/BV ค่าเฉลี่ย กลุ่มที่ 2.84 เท่าตามเดิม ได้ราคาเหมาะสมใหม่ที่ 26.25 บาท/หุ้น

16.บริษัท เพรสซิเด้นท์ ออโตโมบิล อินดัสทรีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PACO

โดยบล.เอเชีย เวลท์ จำกัด คาดแนวโน้มรายได้และกำไรช่วงครึ่งหลังของปี 2564 ยังเติบโตสวนทางวิกฤต Covid-19 หนุนจาก (1) การเริ่มขายผลิตภัณฑ์ Radiator ที่เพิ่งออกสู่ตลาด โดยจะเริ่มรับรู้รายได้ส่วนนี้ชัดเจนขึ้นในไตรมาส 3/64 (2) การเปิดตัวสินค้าใหม่แบตเตอรี่คูลเลอร์ที่รองรับแบรนด์ดัง สำหรับตลาดรถยนต์ไฟฟ้าทั้ง EV และ Plug-in Hybrid ซึ่งได้รับความสนใจจากลูกค้าต่างประเทศโดยเฉพาะกลุ่มลูกค้า ประเทศสหรัฐอเมริกา และกำไรจากมาร์จิ้นที่สูงของสินค้า เนื่องจากยังไร้คู่แข่งที่สำคัญ และ (3) แผนพัฒนาเพิ่ม Utilization Rate ของบริษัทในการผลิตให้ได้มากถึง 90%

ทั้งนี้ บริษัทประกาศจ่ายเงินปันผลครึ่งปีแรกที่ 0.03 บาท โดยบริษัทจะทำการขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 23 ส.ค. และจ่ายเงินปันผลวันที่ 9 ก.ย.

อย่างไรก็ตาม ยังคงแนะนำ ซื้อ โดยคงราคาเป้าหมายไว้ที่ 3.40 บาท อิงค่า PER ของธุรกิจ ใกล้เคียงย้อนหลัง 5 ปี ที่ 28 เท่าเนื่องจากมองว่าแนวโน้มทิศทางผลประกอบการยังน่าสนใจและเติบโตสวนทางตลาด

17.บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC

โดยบล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ มองว่าบริษัทยังเติบโตขึ้นอีกในไตรมาส 3/64 ด้วยการเข้าสู่ฤดูฝน ซึ่งเป็น High season ของโรงไฟฟ้า Hydro และปริมาณน้ำปีนี้สูงขึ้นมากปีก่อน ทำให้โครงการไซยะบุรีจะเป็นตัวหนุนกำไรให้กับ GPSC ต่อเนื่องและคาดว่ากำไรไตรมาส 3/64 จะเป็นจุดสูงสุดของปี

รวมถึง GPSC จะเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก :1) การลงทุน 41.6% ใน Avaada Solar farm ที่อินเดีย มูลค่าลงทุนรวม 1.5 หมื่นล้านบาท โดยมีโรงไฟฟ้าที่ดำเนินการอยู่แล้ว 1,392 MW (579 Mwe); และ 2) การลงทุน 50% ใน Sheng Yang ซึ่งเป็น Solar farm ในไต้หวัน 55.8 MW (27.9 Mwe)

อย่างไรก็ตาม คาดกำไรจะถูกลดทอนลงบางส่วนจากกำไรขั้นต้นของ SPP ที่มีแนวโน้มลดลงตามต้นทุนก๊าซธรรมชาติและถ่านหิน ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้นจากการกู้ยืมเงินเพื่อเข้าลงทุนใน Avaada

ทั้งนี้ ปรับราคาเป้าหมายของ GPSC ขึ้นเป็ น 83 บาท จากการเลื่อนปีฐานเป็นปีหน้า โดยมองว่า GPSC ยังมีปัจจัยหนุนระยะสั้นจากกำไรไตรมาสหน้า ซึ่งจะโดดเด่นขึ้นอีกจากไซยะบุรี และส่วนแบ่งกำไรจาก Avaada คงคำแนะนำ “ซื้อ” ทั้งนี้ ในไตรมาส 3/64 หุ้น GPSC เป็นหุ้นที่ต่างชาติและ NVDR ซื้อสะสมสูงสุดในกลุ่มโรงไฟฟ้า

18.บริษัท เมกาเคม (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ MGT

โดยบล.เอเชีย เวลท์ จำกัด แนะนำ “เก็งกำไร” และมีโอกาสปรับเพิ่มจาก M&A และธุรกิจกัญชง กัญชา ทั้งนี้ คาดว่าผลประกอบการในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 จะมีการฟื้นตัวขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป (โดยผลประกอบการครึ่งปีแรกคิดเป็น 47% ของประมาณการกำไรสุทธิ) แม้ว่าระยะสั้นอาจถูกกดดันจากสถานการณ์ COVID-19 ในประเทศที่มีการระบาดระลอกใหม่ในช่วง เม.ย. 64 ซึ่งทำให้กลุ่มลูกค้าบางส่วนได้รับผลกระทบ

อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะถูกชดเชยจากกลุ่มลูกค้าที่ผลิตเพื่อการ ส่งออก หลังประเมินว่าภาคการส่งออกในช่วงครึ่งปีหลังจะยังดีต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก เนื่องจากในหลายประเทศเริ่มมีการเปิดเมือง ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ ประกอบกับค่าเงินบาทที่อ่อนค่า เป็นปัจจัยหนุนภาคการส่งออก ซึ่งสอดคล้องกับตัวเลขการนำเข้าเคมีภัณฑ์ของช่วงเดือน มิ.ย. ที่ยังเติบโตต่อเนื่อง ทั้งนี้ราคาหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้Upside เริ่มจำกัด แต่ยังมีโอกาสปรับราคาเป้าหมายเพิ่มในอนาคต จากการทำ M&A และธุรกิจกัญชง กัญชา

Back to top button