SMPC โกยรายได้ Q2 กว่า 1.14 พันลบ. แจกปันผล 0.35 บ.

SMPC บุ๊คงบ Q2/64 โกยรายได้กว่า 1,137 ลบ. บอร์ดจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.35 บาท/หุ้น ส่งซิกครึ่งปีหลังออเดอร์ไหลเข้าต่อเนื่อง หนุนยอดขายทั้งปีโตตามแผน 10-15%  


นายสุรศักดิ์ เอิบสิริสุข ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท สหมิตรถังแก๊ส จำกัด (มหาชน) หรือ SMPC เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทฯ งวดไตรมาส 2 ปี 2564 บริษัทฯ มียอดขายรวมอยู่ที่ 1,137.16 ล้านบาท โดยยอดขายเพิ่มขึ้น 44.04 ล้านบาท หรือคิดเป็น 4% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มียอดขาย 1,093.12 ล้านบาท เนื่องจากสถานการณ์ปัญหาค่าระวางเรือที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดไปทั่วทุกภูมิภาคตั้งแต่ปลายปี 2563 เริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น

รวมถึงการวางแผนการบริหารจัดการด้านขนส่งมีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ทำให้การขนส่งเป็นไปตามแผนที่วางไว้ ในส่วนของความต้องการลูกค้ายังคงมีอย่างต่อเนื่องจากภูมิภาคหลัก โดยเฉพาะยอดขายในทวีปแอฟริกา และอเมริกาเหนือ ยังคงเติบโตจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับผลของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ยังคงทำให้ไทยได้เปรียบการแข่งขันกับจีน

ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 174.07 ล้านบาท ลดลง 8.12 ล้านบาท หรือคิดเป็น 4.5% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 182.19 ล้านบาท เนื่องจากยอดขายและกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น สุทธิกับต้นทุนในการจัดจำหน่ายและค่าใช้จ่ายในการบริหารที่เพิ่มขึ้น

“ในไตรมาส 2/2564 กำไรขั้นต้นอยู่ที่ 300.69 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.4% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีอัตรากำไรขั้นต้น 288.06 ล้านบาท  โดยอัตรากำไรขั้นต้นใกล้เคียงเดิมที่ 26.4% โดยในไตรมาสนี้ต้นทุนในการจัดจำหน่ายเพิ่มขึ้น เนื่องจากอัตราค่าระวางเรือที่เพิ่มราคาอย่างก้าวกระโดดไปทั่วทุกภูมิภาค และค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมการขายเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับค่าใช้จ่ายในการบริหารที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากค่าจ้างที่ปรึกษา อัตราผลตอบแทนพนักงาน และค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับมาตรการป้องกันสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 เพิ่มขึ้น” นายสุรศักดิ์ กล่าว

ทั้งนี้ เพื่อตอบแทนผู้ถือหุ้นที่ไว้วางใจเสมอมา ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯมีอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล ในอัตราหุ้นละ 0.35 บาทต่อหุ้น จากผลการดำเนินงานของบริษัทฯ สำหรับงวด 6 เดือน สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิ์ได้รับเงินปันผล (Record date) วันที่ 24สิงหาคม  2564  และกำหนดจ่ายปันผลในวันที่ 9 กันยายน 2564

สำหรับแนวโน้มผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าจะดีกว่าจากในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา โดยออเดอร์มีเข้ามาอย่างต่อเนื่องเป็นจำนวนมากไปถึงปลายปีแล้ว ขณะที่สถานการณ์การส่งออกทางเรือดีขึ้น และแนวโน้มการอ่อนค่าของค่าเงินบาทส่งผลบวกต่อบริษัท ขณะเดียวกันสำหรับปีนี้บริษัทได้มีการขยายตลาดใหม่ๆ เพิ่ม ได้แก่ ในทวีปอเมริกาใต้ หลังจากที่ยอดขายในทวีปอเมริกาเหนือเติบโตแรง นอกจากนี้ยังมีประเทศในแถบแอฟริกาที่ยังมีโอกาสการเติบโตอีกมาก ขณะที่ตลาด CLMV ก็มียอดขายดีขึ้นเช่นเดียวกัน เชื่อว่าจะช่วยสนับสนุนยอดขายในปีนี้ให้เติบโต  10-15% ได้ตามแผน

ส่วนสถานการณ์ราคาเหล็กในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นมากอย่างต่อเนื่อง อาจส่งผลต่อบริษัทบางส่วน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากนโยบายการเสนอราคาของบริษัทเป็นแบบ Cost plus และลูกค้าบางรายที่เป็นออเดอร์ระยะยาว จะมีเงื่อนไขให้บริษัทสามารถเจรจาปรับราคาได้หากมีการเปลี่ยนแปลงของราคาเหล็กมาก ประกอบกับบริษัทยังคงมีสต๊อกเหล็กที่ราคาไม่สูงมากสำรองไว้จำนวนหนึ่ง จึงคาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อมาร์จิ้นมากนัก ในทางกลับกัน แนวโน้มราคาเหล็กที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าบางรายตัดสินใจสั่งซื้อในปริมาณที่มากขึ้นและเร็วขึ้น เป็นผลให้ยอดขายเติบโตมากขึ้นด้วย

Back to top button