JMART ลั่นผลงานครึ่งปีหลังโตต่อ ลุ้น “ทริสฯ” ปรับเรทติ้งใหม่ รับดีลกลุ่ม “บีทีเอส”

JMART เดินหน้าทำผลงานออลไทม์ไฮ! มั่นใจครึ่งหลังปี 64 โตต่อ รับบ.ลูกหนุน โดยเฉพาะ JMT-SINGER คาดผลงานทำจุดสูงสุดใหม่ พร้อมมีฐานทุนเพิ่ม หลังจับมือพาร์ทเนอร์ใหม่กลุ่ม BTS ย้ำเป้ากำไร 3 ปีข้างหน้าโต 50% ต่อปี จับตา “ทริสฯ” ขอข้อมูลเพิ่ม หลังประกาศดีลกลุ่ม "บีทีเอส" คาดปรับเรทติ้งองค์กรเพิ่ม


นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART เปิดเผยข้อมูลภาพรวมของบริษัทผ่านงาน Opportunity Day จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในวันที่ 3 ก.ย.2564 ว่า บริษัทฯ มั่นใจธุรกิจปี 2564 จะสามารถทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ (All Time High) หลังภาพรวมครึ่งปีแรกที่ผ่านมา JMART มีการเติบโตมากกว่า 100% จากทุกบริษัทในกลุ่ม

ส่วนแนวโน้มในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 ผลการดำเนินงานจะยังคงเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสนับสนุนมาจากบริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT คาดจะมีผลงานทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ (All Time High) เช่นเดียวกับบริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER ที่คาดจะทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 132 ปี

ส่วนบริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) หรือ J เตรียมเปิดคอมมูนิตี้มอลล์ใหม่ 2 แห่ง และมี Business model ที่น่าสนใจ รวมถึงเจมาร์ท โมบาย แข็งแกร่งขึ้น และเชื่อว่าการทำ Synergy ตลอดระยะเวลา 6 ปีของกลุ่มบริษัทจะทำให้บริษัทฯ ในเครือเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งควบคู่กันไปด้วย

ขณะที่ล่าสุดบริษัทฯ ได้ประกาศการร่วมทุนกับบริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ VGI และบริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ U ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS เข้ามาลงทุนในกลุ่มเจมาร์ท ซึ่งภายหลังการประกาศดีลออกไป ทางบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก็ได้ขอเข้าพบในต้นสัปดาห์หน้าเพื่อขอข้อมูลนำไปปรับอันดับเครดิตในเวลาต่อไป

โดยบริษัทฯ เชื่อมั่นว่าการเข้ามาของกลุ่มบีทีเอสจะส่งผลดีต่อการทำ Synergy และเม็ดเงินที่เข้ามาส่งผลทำให้ฐานทุนของกลุ่ม JMART เปลี่ยนไป งบดุลแข็งแรงขึ้น อันดับเครดิตน่าจะสูงขึ้น และต้นทุนทางการเงินลดลง (Funding Cost)

ทั้งนี้จากการที่มีฐานเงินทุนใหม่เข้ามาจาก VGI และ U City ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่ม BTS Group Holdings คาดดีลจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 4/2564 ทำให้มั่นใจยิ่งขึ้นในการสร้างซินเนอร์ยี่ และอีโคซิสเต็มส์ที่ใหญ่กว่าเดิม ช่วยในการขยายผลิตภัณฑ์ ขยายช่องทางการจำหน่าย ซึ่งทั้งสองกลุ่มบริษัท ยังมีโปรเจกต์จำนวนมากที่เตรียมผนึกกำลังกัน เพื่อขยายฐานลูกค้ากลุ่มคอนซูเมอร์ที่เจมาร์ทให้ความสำคัญ และแข็งแกร่ง

นอกจากนี้ ยังสนับสนุนแผนรุกธุรกิจโลจิสติกส์ให้เกิดขึ้นได้เร็วยิ่งขึ้น ตามแผนงานที่ประกาศในช่วงต้นปีที่ผ่านมา โดยเจมาร์ทยังมีแผนต่อไปในการเข้าไปรุกธุรกิจประกันเพิ่มเติม

“ทันทีที่ได้รับการอนุมัติจากผู้ถือหุ้นในการเข้ามาของกลุ่ม BTS บริษัทก็พร้อมที่จะเดินหน้าตามแผนงาน โดยเบื้องต้นคาดว่าธุรกิจการจำหน่ายมือถือจะปรับตัวดีขึ้น และผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของกลุ่มจะมีเพิ่มมากขึ้น และเชื่อว่าจะสามารถทำ Expotential Business model และสร้าง J  Curve ใหม่ๆ ขึ้นมาได้ ทั้งนี้มั่นใจว่ากำไรสุทธิในช่วงปี 2564 จะเติบโตมาก 50% และตั้งเป้ามีกำไรสุทธิเติบโตเฉลี่ย 50% ต่อปีในช่วง 3 ปี (ปี 2564-2566)” นายอดิศักดิ์ กล่าว

ส่วนนายกิติพัฒน์ ชลวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ ฟินเทค จำกัด (J FINTECH) กล่าวเพิ่มเติมว่า ภายหลังจากมีความร่วมมือกับ  VGI และ U ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ BTS ก็เตรียมเข้าเป็นพาร์ทเนอร์กับบริษัท เคอรี่ เอ็กเพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEX เพื่อต่อยอดธุรกิจร่วมกัน เช่น การใช้ร้านจำหน่ายโทรศัพท์มือถือของ “เจโมบาย” และสาขาของ SINGER เป็นจุดให้บริการของ Kerry ในจังหวัดต่างๆ คาดเห็นภาพชัดเจนได้ภายในปีนี้ ขณะเดียวกันก็จะมีการปรับโครงสร้างธุรกิจเจมาร์ท อินชัวรันซ์ โบรกเกอร์ เพื่อจับมือกับทาง VGI ขยายการเติบโตในธุรกิจดังกล่าว

ด้านนายธนวัฒน์ เลิศวัฒนารักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด หรือ JVC เปิดเผยว่า หน้าที่ของ JVC คือการขับเคลื่อนเทคโนโลยี และพัฒนาเรื่องบล็อกเชน ผสานพลังซินเนอร์ยี่ภายในกลุ่ม ด้วยการใช้จุดแข็งเจมาร์ทเป็น King of Consumer Retail อยู่แล้ว ฐานลูกค้าส่วนใหญ่คือกลุ่ม B2C จะสามารถปรับเปลี่ยนให้เจมาร์ทมีแต้มต่อในการเดินเกมธุรกิจมากกว่าใคร

นอกจากนี้ กลุ่มเจมาร์ท มีเหรียญ JFIN ซึ่งเป็น Utility Token ที่สามารถนำไปใช้สิทธิประโยชน์ต่างๆ ได้ โดยได้เริ่มจัดทำแคมเปญร่วมกับกลุ่มเจมาร์ทในการทำกิจกรรม JFIN Adoption หรือโปรโมชั่น “ลด แลก แจก JFIN” ซึ่งเริ่มแคมเปญในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา ปัจจุบันมีผู้ใช้งาน JFIN Adoption กว่า 400,000 คนแล้ว

ทั้งนี้ ในการจัดทำแคมเปญเหล่านี้มีเข้าร่วม 11 บริษัท รวมประมาณ 23 โปรแกรม และใช้ JFIN ผ่านแคมเปญครั้งนี้ในการแลกเปลี่ยนแล้วประมาณ 3 ล้าน JFIN ให้ประโยชน์ต่อกลุ่มเจมาร์ท ประมาณ 330 ล้านบาท ทั้งนี้ อาจเห็น JFIN ไปใช้เป็นกลไกทางธุรกิจในรูปแบบอื่นๆ ได้อีกมาก รวมถึง แผนการจับมือกับกลุ่ม BTS คาดเห็นความชัดเจนภายในปี 2565 และเดินหน้าพัฒนาบล็อกเชน พร้อมด้วย Digital Lending Platform เพื่อเข้าสู่ฟินเทค ขยายธุรกิจปล่อยสินเชื่อไปยังกลุ่มคนที่ไม่สามารถเข้าถึงระบบจากธนาคารได้

ขณะที่นายนราธิป วิรุฬห์ชาตะพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจมาร์ท โมบาย จำกัด กล่าวว่า สำหรับผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังนี้ของเจมาร์ทโมบายคาดจะเติบโตต่อเนื่อง จากภาครัฐได้มีการคลายมาตรการล็อกดาวน์ รวมถึงบริษัทได้มีการปรับตัวจากการวางกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจมาตั้งแต่ปีที่แล้ว และยังวางแผนในระยะยาว ไม่ว่าจะรักษายอดขายผ่านรีเทล และการขายผ่านช่องทางของสาขา SINGER, การทำแพลตฟอร์มออนไลน์ (Online Team), ขยายฐานยอดขายในส่วนของสินเชื่อ และลดค่าใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง

Back to top button