โบรกฯเชียร์ซื้อ JMT ชูเป้า 56 บ. ซื้อหนี้บริหารเพิ่ม ดันกำไรปี 64-65 โตเด่น

“บล.เคทีบีเอสที” ชี้ JMT กำไรปี 64 โต 1.25 พันลบ. และปี 65 โต 2.03 พันลบ. รับแรงหนุนจากเข้าซื้อหนี้เสียมาบริหารเพิ่มขึ้น ธุรกิจให้บริการติดตามเร่งรัดหนี้ ธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ ธุรกิจประกันภัย แนะ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 10.50 บาท


บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ (17 ก.ย.2564) เกี่ยวกับบริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT ว่ามีโอกาสเข้าซื้อหนี้เสียมาบริหารสูงขึ้น ซึ่งคาดว่าเงินลงทุนในกองหนี้เสียของบริษัทจะปรับตัวเพิ่มขึ้นในอัตราของปี 2562 – 2565 เฉลี่ยเพิ่มขึ้นราว 27% เนื่องจากส่วน NPL ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปี 2556 จนถึงไตรมาส 2/2564 โดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 10% ไม่รวมลูกหนี้ที่สถาบันการเงินได้ช่วยเหลือ รวมทั้งสัดส่วนลูกหนี้ SML ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 6-8% ในช่วงปี 2563 จนถึงไตรมาส 2/2564 เทียบจากอดีตที่อยู่เพียง 2 – 3%

นอกจากนี้มีฐานทุนที่แข็งแกร่งคาดในปี 2564 – 2565 ค่า D/E ที่ 0.4 เท่า -0.50 เท่า เหตุจากการเพิ่มทุน RO ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปลายปี 2564 จำนวน 1.00 หมื่นล้านบาท และออกวอร์แรนต์ JMT-W2 ในเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา

ทั้งนี้มีการประเมินรายได้รวมจะขยายตัวในปี 2564 เพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน  และต่อเนื่องโดดเด่นในปี 2565 เพิ่มขึ้น 44% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน หนุนโดยฐานกองหนี้เสียสะสมที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกองหนี้ Fully amortized ที่เพิ่มขึ้นจากครึ่งแรกปี 2564 อยู่ที่ 4.95 พันล้านบาท เติบโตจากปี 2561 จนถึงครึ่งแรกของปี 2564 เฉลี่ย 32% ต่อปี

ส่วนรายได้ธุรกิจรับจ้างติดตามหนี้ปี 2565 จะดีขึ้นตามมูลหนี้รับจ้างที่คาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน จากที่ลดตัวในปี 2564 ที่ลดลง 5% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน ภายหลังการสิ้นสุดระยะเวลาการช่วยเหลือของสถาบันการเงินที่ปัจจุบันได้ขยายระยะเวลาช่วยเหลือถึง ธ.ค. 2564 และธุรกิจประกันที่ได้รับผลบวกจากความร่วมมือกับกลุ่ม BTS ที่สามารถขายประกัน non-life ได้เพิ่มขึ้นในปี 2565

ขณะที่คาดกำไรสุทธิปี 2564 อยู่ที่ 1.25 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน และปี 2565 อยู่ที่ 2.03 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 63% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน โดยได้รับปัจจัยบวกเงินลงทุนในการเข้าซื้อกองหนี้เสียปี 2564 อยู่ที่ 7.00 พันล้านบาท และในปี 2565 อยู่ที่ 1.00 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะทำให้บริษัทมีกองหนี้เสียที่สิทธิเรียกร้องในปี 2567 คาดอยู่ที่ 5.12 แสนล้านบาท (สูงกว่า BAM ณ ไตรมาส 2 ของปี 2564 อยู่ที่ 4.83 แสนล้านบาท)

ต่อเนื่องจากรายได้ที่จะขยายตัวต่อเนื่องปีละ 12% และ 48% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และส่วนของค่าใช้จ่ายดำเนินงานที่ลดลงคิดเป็นต้นทุนต่อรายได้อยู่ที่ 49% และ 44% จากปีก่อนอยู่ที่ 51% หนุนโดยต้นทุนการให้บริการที่ลดลงตามประสิทธิภาพในการติดตามหนี้ที่ดีขึ้น

อย่างไรก็ตามทางฝ่ายวิจัยยังประเมินว่าบริษัทจะไม่ได้รับผลกระทบจากการคุมรายได้ค่าธรรมเนียมในการติดตามหนี้เนื่องจากเป็นการคุมการติดตามหนี้ที่มีคุณภาพดีเป็นหลัก ซึ่งต่างจากหนี้ที่บริษัทติดตามจะเป็นหนี้เสีย

โดยประเมินว่าบริษัทควรที่จะเทรด premium มากกว่าผู้ประกอบการรายอื่นในอุตสาหกรรมจากผลกระทบที่จำกัดจากโควิด-19  ซึ่งมีกองหนี้เสียที่มั่นคง ทั้งกองหนี้เสีย unsecured ที่มีสัดส่วน fully-amortized เพิ่มขึ้นต่อเนื่องและกองหนี้เสีย secured ที่เพิ่มขึ้นในช่วงหลังที่ประเมินว่าบริษัทมีความสามารถในการบริหารจัดการกองหนี้ที่มีประสิทธิภาพผลการดำเนินงานในระยะยาวของบริษัทจะขยายตัวปี 2562-2564 เฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น 19% และปี 2565 ด้วย ROE ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 11% สูงสุดในกลุ่ม โดยให้ราคาเป้าหมาย 56.00 บาท อิงวิธี GGM ได้ในปี 2565 ค่า PBV ที่ 4.1 เท่า แนะนำ “ซื้อ”

 

 

 

 

 

 

 

 

 

Back to top button