SIRI ควัก 65 ลบ. เพิ่มจุดชาร์จ EV โครงการบ้าน-คอนโด ตั้งเป้าปี 67 ครบ 1,500 จุด

SANSIRI จับมือ SHARGE ทุ่มเงิน 65 ลบ. ติดตั้งเครื่องชาร์จยานยนต์ไฟฟ้า EV Charging รองรับยานยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น คาดติดตั้งครอบคลุมบ้าน-คอนโดทุกโครงการในแนวราบระดับ B ขึ้นไป วางเป้า 1,500 เครื่อง ภายใน 3 ปี (ปี 65-67)


นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า ตั้งแต่ปี 2561 บริษัทได้กำหนดเป้าหมายในการทำธุรกิจเพื่อสร้างจุดเปลี่ยนด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนภายใต้ Sansiri Green Mission กับเป้าหมาย 3 ปีในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนมอนออกไซด์เฉลี่ย 2,120 ตัน หรือเทียบเท่าป่าสีเขียวกว่า 1,700 ไร่ จากการมุ่งมั่นทุ่มเทจึงทำให้สามารถพิชิตเป้าหมายได้ภายในระยะเวลาเพียงครึ่งปีเท่านั้น

ในปัจจุบันบริษัทยังคงสานต่อนโยบายนี้ภายใต้โปรเจ็กต์ Sansiri Sustainability Mission โดยมีสาระสำคัญคือ Better Care for Environment สร้างสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้นให้กับลูกบ้านและสังคมโดยรวม โดยโฟกัสในเรื่อง Energy & Well-being ด้วยการเป็นผู้นำในการติดตั้งเครื่องชาร์จยานยนต์ไฟฟ้า (EV Charging) ให้กับบ้านในโครงการของแสนสิริ ซึ่งสอดคล้องกับเทรนด์ของโลกที่จะขับเคลื่อนด้วย EV ดังจะเห็นได้จาก business-standard.com ได้เผยข้อมูลว่าอังกฤษเป็นประเทศแรกที่จะมีกฎหมายกำหนดให้บ้านและสำนักงานที่สร้างใหม่ต้องมีการติดตั้งเครื่องชาร์จ EV และคาดว่าจะบังคับใช้ภายในปี 2565 เพื่อสร้างความมั่นใจให้ชาวอังกฤษเปลี่ยนไปใช้รถ EV ได้อย่างสะดวก หลังจากที่อังกฤษประกาศห้ามจำหน่ายรถยนต์สันดาปในปี 2573

โดยบริษัทได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ (Strategic Partner) คือ ชาร์จ แมเนจเม้นท์ (SHARGE) ผู้นำด้านการสร้าง EV Charging Ecosystem เพื่อขยายโซลูชั่นในการอำนวยความสะดวกลูกบ้านแสนสิริในการใช้รถพลังงานไฟฟ้าและการเข้าถึงสถานีชาร์จ ด้วยการติดตั้ง EV Charging Station ในโครงการที่อยู่อาศัยของแสนสิริ โดยนำร่องที่โครงการคอนโดมิเนียมจำนวน 95 หัวชาร์จ (50 เครื่อง) ใน 28 โครงการ

อีกทั้งยังได้กำหนดเป็น Road Map 3 ปี (65-67) โดยมีการตั้งเป้าหมายขยายการติดตั้ง EV Charging Station ให้ครอบคลุมโครงการแนวสูงที่เปิดใหม่ และโครงการแนวราบในระดับเซ็กเมนต์ B ขึ้นไปทุกโครงการ ภายใต้งบลงทุน 65 ล้านบาท หรือการติดตั้งเครื่องชาร์จ EV ราว 1,500 เครื่อง ภายใน 3 ปี โดยปัจจุบันราคาต่อหัวชาร์จอยู่ที่ 60,000-70,000 บาท ซึ่งคาดว่าในอนาคต ราคาอาจจะถูกลงและอาจจะมีเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาช่วยลดค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น

ส่วนโครงการบ้านเดี่ยวในเซ็กเมนต์ B ขึ้นไป จะได้รับพริวิลเลจพิเศษ เป็นเครื่องชาร์จ ABB Terra AC Wallbox (Normal Charge) นำเข้าโดย SHARGE ที่สามารถชาร์จได้เร็วถึง 4-8 ชั่วโมง (ขึ้นอยู่กับขนาดรถ)  ซึ่งการสร้างปรากฎการณ์ใหม่ให้กับที่อยู่อาศัยในครั้งนี้สอดคล้องกับการสำรวจพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่และผู้อยู่อาศัยแสนสิริในเซกเมนต์ B ขึ้นไป ที่พบว่าเป็นคนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จเร็ว (Young Success) และมีไลฟ์สไตล์การใช้ชีวีตแบบยั่งยืน คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม บางส่วนเป็นเจ้าของรถ EV หรือกำลังมองหารถ EV เพื่อใช้ในอนาคต

ดังนั้นการร่วมสร้างความเปลี่ยนแปลงระหว่าง แสนสิริ และ SHARGE จึงเป็นการสร้างปรากฎการณ์ใหม่แห่งอนาคตที่ตอบโจทย์ความต้องการของคนรุ่นใหม่เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ไปด้วยกัน

ด้าน นายพีระภัทร ศิริจันทโรภาส กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาร์จ แมเนจเม้นท์ จำกัด (SHARGE) ผู้นำด้านการสร้าง EV Charging Ecosystem เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน เปิดเผยว่า การได้เข้าร่วมเป็น Strategic Partner กับแสนสิริ ที่เล็งเห็นเทรนด์การเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมด้วยการใช้ EV ตลอดจนไลฟ์สไตล์ของลูกบ้านที่ต้องการชาร์จรถที่บ้าน เป็นไปในทิศทางเดียวกับ Road Map ของประเทศที่ภาครัฐให้การสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับ EV อีกด้วย

ทั้งนี้ทางแสนสิริจึงได้ร่วมกับ SHARGE ในการออกแบบและขยายโซลูชั่นรองรับการใช้รถ EV และการเข้าถึงสถานีชาร์จ เพื่อมอบบริการที่ดีที่สุดแก่ลูกบ้านแสนสิริ และนำมาสู่การเซ็ตเทรนด์ที่อยู่อาศัยรูปแบบใหม่ ในการติดตั้งเครื่องชาร์จ EV ในที่อยู่อาศัย ที่จะเติบโตไปตามเทรนด์ของโลกที่ตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม

นอกจากนี้ความร่วมมือครั้งนี้ยังสอดคล้องกับ Road Map 5 ปี ของ SHARGE ที่ตั้งเป้าหมายดำเนินผ่านกลยุทธ์ LIFESTYLE CHARGING ECOSYSTEM: NIGHT, DAY, ON-THE-GO เพื่อเติมเต็มไลฟ์สไตล์และอำนวยคามสะดวกในการใช้ชีวิตของลูกค้าอย่างยั่งยืน ควบคู่กับการใช้รถพลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย โดยร่วมมือกับภาคอสังหาริมทรัพย์ (ผู้ประกอบการที่อยู่อาศัยและศูนย์การค้า) ผู้ประกอบการรถยนต์ และธุรกิจพลังงาน สร้างระบบนิเวศที่เน้นเจาะกลุ่มเป้าหมายตามพฤติกรรมของผู้บริโภค 3 กลุ่ม ประกอบด้วย

  1. NIGHT กลุ่มผู้ใช้บริการชาร์จที่เน้นการชาร์จที่บ้าน ซึ่งกลุ่มนี้จะมีสัดส่วนสูงสุดหรือคิดเป็น 80% ของผู้ใช้รถ EV ทั้งหมด เพราะจากการศึกษาพฤติกรรมผู้ใช้งานรถ EV ในสหรัฐฯ จีน และยุโรป พบว่า ส่วนใหญ่จะนิยมชาร์จที่บ้านในเวลากลางคืน เพราะสะดวกและเหมาะกับไลฟ์สไตล์ประจำวันที่คนส่วนใหญ่จะจอดรถไว้บ้านในเวลากลางคืน รวมถึงการชาร์จตามบ้านมีต้นทุนค่าไฟฟ้าที่ถูกกว่า
  2. DAY กลุ่มผู้ใช้บริการชาร์จที่เน้นการชาร์จที่จุดหมายปลายทาง เช่น การชาร์จตามศูนย์การค้า แหล่งไลฟ์สไตล์ต่างๆ สถานศึกษา และอาคารสำนักงาน โดยกลุ่มนี้จะมีสัดส่วนอยู่ที่ 15%
  3. ON THE GO กลุ่มผู้ใช้บริการชาร์จที่เน้นการชาร์จที่ต้องการชาร์จตามสถานีชาร์จระหว่างการเดินทางข้ามจังหวัด หรือการท่องเที่ยว ซึ่งกลุ่มนี้จะมีสัดส่วนน้อยที่สุดคือ 5% ของจำนวนผู้บริโภคทั้งหมด

“บริษัทได้ทำงานร่วมกับแสนสิริ ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ Infrastructure ของ EV Charging Station ในแต่ละโครงการเปิดใหม่ของแสนสิริทั้งแนวราบและแนวสูง เพื่อวิเคราะห์รูปแบบของการให้บริการให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของลูกบ้าน อีกทั้ง ได้เพิ่มฟีเจอร์การจอง EV Charging Station บน Sansiri Home Service Application ซึ่งเป็นการนำเอาบริการจากแอปพลิเคชั่นของ SHARGE ที่มีไว้สำหรับค้นหาและจองสถานีชาร์จพลังงานไฟฟ้าทั่วกรุงเทพฯ

อีกทั้งยังสามารถจ่ายค่าไฟฟ้าผ่านแอปพลิเคชั่น ยกระดับความสะดวกของลูกบ้านในการเดินทางด้วยรถ EV นอกจากนี้ สำหรับโครงการของแสนสิริที่เปิดก่อนหน้านี้ หากมีความประสงค์ที่จะติดตั้ง EV Charging Station ทาง SHARGE ยินดีที่จะให้คำแนะนำและประเมินความเหมาะสมให้แต่ละโครงการโดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ” นายพีระภัทร กล่าว 

Back to top button