ครม.เห็นชอบร่างถ้อยแถลงร่วมประชุมผู้นำ “ลุ่มน้ำโขง-เกาหลีใต้” 26 ต.ค.นี้

ครม. เห็นชอบร่วมการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขง-สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 3 จัดขึ้นวันที่ 26 ตุลาคม 2564 ผ่านระบบประชุมทางไกล โดยมีจุดประสงค์เพื่อส่งเสริมมิตรภาพ และความร่วมมือด้านการเมืองเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมระหว่างประเทศสมาชิก


นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบร่างถ้อยแถลงร่วมการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขง-สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 3 ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอซึ่งร่างถ้อยแถลงร่วมจะมีการรับรองในการประชุมที่จัดขึ้นในวันที่ 26 ตุลาคม 2564 ผ่านระบบการประชุมทางไกล โดยมีประธานาธิบดีเกาหลีใต้ และนายกรัฐมนตรีกัมพูชาเป็นประธานร่วมในการประชุม

ทั้งนี้ กรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขง-เกาหลีใต้ (Mekong-ROK) ประกอบด้วยสมาชิก 6 ประเทศ ได้แก่ ไทย, กัมพูชา, ลาว, เมียนมา, เวียดนาม และเกาหลีใต้ ร่วมมือกันภายใต้วัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมมิตรภาพและความร่วมมือด้านการเมืองเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมระหว่างประเทศสมาชิก สำหรับร่างถ้อยแถลงร่วม มีสาระสำคัญดังนี้

  1. เน้นย้ำความสำคัญของความร่วมมือระดับภูมิภาค และระหว่างประเทศ ในการตอบโต้และรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ซึ่งเกาหลีใต้จะให้การสนับสนุนในรูปแบบความช่วยเหลือด้านการเงินและสิ่งของ จำนวน 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ผ่านกลไก COVAX AMC ภายในปี 2565
  2. ยืนยันเจตนารมณ์ในการเสริมสร้างความร่วมมือบนพื้นฐาน 3 เสา ของกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขง-เกาหลีใต้ ได้แก่ ประชาชน ความเจริญรุ่งเรือง และสันติภาพ โดยดำเนินการผ่านสาขาความร่วมมือ 7 สาขา ได้แก่

2.1) วัฒนธรรมและการท่องเที่ยว เช่น หามาตรการที่มีประสิทธิภาพต่อการฟื้นฟูการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอย่างปลอดภัย อนุรักษ์และฟื้นฟูมรดกวัฒนธรรม และส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง

2.2) การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เช่น แบ่งปันประสบการณ์ในสาขาการอุดมศึกษา จัดหาทรัพยากรสำหรับการเรียนรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ส่งเสริมความร่วมมือในสาขาทรัพยากรมนุษย์

2.3) การเกษตรและการพัฒนาชนบท เช่น ยกระดับชีวิตความเป็นอยู่และลดช่องว่างด้านการพัฒนาของชุมชนชนบทและการเกษตรของประเทศลุ่มน้ำโขง ส่งเสริมความร่วมมือด้านการเกษตรอัจฉริยะ และความมั่นคงความปลอดภัยทางอาหารที่เข้มแข็งยิ่งขึ้นในภูมิภาค

2.4) โครงสร้างพื้นฐาน เช่น เสริมสร้างความร่วมมือด้านการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม เมืองอัจฉริยะ การพัฒนาท่าเรือ และความมั่นคงด้านพลังงานในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง อำนวยความสะดวกต่อการเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลที่ดีขึ้นสำหรับ MS MEs และ Start-up

2.5) เทคโนโลยีสารสนเทศ เช่น ส่งเสริมการลงทุนในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง โดยเฉพาะสาขาเศรษฐกิจดิจิทัล พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ความมั่นคงทางไซเบอร์ เครือข่าย 5G ปัญญาประดิษฐ์ และระบบ Big Data

2.6) สิ่งแวดล้อม

2.7) ความท้าทายด้านความมั่งคงรูปแบบใหม่

Back to top button