SPCG โชว์ 9 เดือนกำไร 2 พันลบ. กางแผนปี 65 รายได้โต 10% ลุย COD เพิ่ม 500 MW ไตรมาส 3

SPCG รายงานกำไร 9 เดือนแตะ 2 พันลบ. ส่งซิกผลงานปี 65 รายได้โต 10% ลุยก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในพื้นที่ EEC คาด COD ในไตรมาส 3 และ 4 ปี 65 ดันกำลังผลิต 500 เมกะวัตต์


นายพิพัฒน์ วิริยธรานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายการเงิน บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ SPCG เปิดเผยข้อมูลภาพรวมธุรกิจของบริษัทผ่านงาน Opportunity Day จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2564 ว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายรายได้ปี 2565 เติบโตไม่ต่ำกว่า 10% จากปีนี้ หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 คลี่คลายมากขึ้น

ขณะเดียวกันก็เตรียมเดินหน้าก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์ฟาร์ม) ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) กำลังการผลิตรวม 500 เมกะวัตต์ ในต้นปีหน้า มูลค่าการลงทุนรวมไม่เกิน 23,000 ล้านบาท และคาดจะเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ในไตรมาส 3 และ 4 ปี 2565

ทั้งนี้ในปี 2565 บริษัทฯ จะมีโครงการโซลาร์ฟาร์มที่ได้ Adder ในราคา 8 บาท ระยะเวลา 10 ปี สิ้นสุดอายุสัญญา Adder ลงรวมทั้งสิ้น 4 โครงการ ซึ่งเมื่อหมด Adder แล้ว จะทำให้บริษัทฯ รับรู้รายได้จาการขายไฟฟ้าในราคาค่าไฟฟ้าฐาน เฉลี่ย 3 บาทต่อหน่วย ปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ระหว่างการศึกษาการเข้าซื้อกิจการ (M&A) และการเข้าร่วมลงทุน (JV) กับพันธมิตรที่มีความเหมาะสม เพื่อมุ่งเน้นการลงทุนในประเทศญีปุ่นเป็นหลัก ซึ่งจะเข้ามาชดเชยกับรายได้จาก Adder ที่ทยอยหมดลง

อีกทั้งปัจจุบัน บริษัทฯ ยังอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการโซลาร์ฟาร์มในญี่ปุ่น ได้แก่ โครงการ Ukujima กำลังการผลิตติดตั้งรวม 480 เมกะวัตต์ กำหนด COD ในเดือนก.ค.66 โดยเป็นความร่วมมือกับพันธมิตร มีผู้ถือหุ้นหลัก 9 ราย โดยบริษัทถือหุ้นในสัดส่วน 17.92% ขนาดการลงทุนรวม 52,000 ล้านบาท เป็นส่วนของบริษัท 2,630 ล้านบาท คาดว่าจะรับรู้รายได้เข้ามาในปี 68 ไม่น้อยกว่า 286 ล้านบาท

โดยอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการ Fukuoka Miyako Mega Solar ณ เกาะคิวชู (Kyushu) เมืองมิยาโกะฝั่งใต้ กำลังการผลิต 44 เมกะวัตต์ จะเริ่ม COD ในเดือน ก.พ.66 โดยทั้งโครงการใช้เงินลงทุนประมาณ 7,200 ล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนการลงทุนของบริษัทตามสัดส่วนการถือหุ้นที่ 10%

 “สำหรับเป้าหมายรายได้ในปี 64 บริษัทฯ ยอมรับว่าอาจจะทำได้ใกล้เคียงกับปีก่อน ที่มีรายได้อยู่ที่ 5,047.31 ล้านบาท จากเดิมที่คาดเติบโตเป็น 5,000-5,500 ล้านบาท เนื่องจากโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจค่อนข้างมากในไตรมาส 3/64 ขณะที่แนวโน้มผลการดำเนนินงานในไตรมาส 4/64 คาดจะทำได้ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากโควิด-19 เริ่มดีขึ้น และโครงการโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มเข้าสู่ช่วงของไฮซีซั่น รวมถึงโซลาร์ลูฟท็อป  ก็ปรับตัวดีขึ้น หลังจากลูกค้าเริ่มกลับมาลงทุนมากขึ้นด้วย นายพิพัฒน์ กล่าว

ทั้งนี้ผลการดำเนินงานของบริษัท เอสพีซีจีจำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อยตามงบการเงินรวมสำหรับงวดเก้าเดือน สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2564 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิจำนวน 2,082.2 ล้านบาท (คิดเป็นกำไรต่อหุ้นเท่ากับ 1.81 บาท)

Back to top button