โบรกฯเคาะราคาพื้นฐาน HL สูงลิ่ว 15 บ. ชูพื้นฐานแกร่ง กำไร 3 ปีโตเฉลี่ย 42%

4 โบรกฯประเมินช่วงราคาพื้นฐาน HL อยู่ที่ 13-15 บาท คาดการณ์รายได้เติบโตสูง ผลจากการขยายสาขาเพิ่ม-พัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ใหม่หนุนอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่ม


บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ประเมินเกี่ยวกับหุ้น บริษัท เฮลท์ลีด จำกัด (มหาชน) หรือ HL ระบุว่า จะเป็นเชนร้านขายยาบริษัทแรกที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ซึ่งมีโครงสร้างธรุกิจคล้ายกลุ่มค้าปลีก ปัจจุบันยังมีสาขาไม่มากเพียง 25 สาขา ยังมีช่องว่างให้โตได้อีกมาก

ขณะที่อุปสรรคของผู้ประกอบการรายใหม่ค่อนข้างสูง เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีกฎระเบียบเข้มงวด ทั้งสถานประกอบการและคุณภาพการเก็บยาต้องมีเภสัชคอยให้คำแนะนำ อีกทั้งยังต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ผลิต และผู้จัดจำหน่าย ซึ่งเป็นจุดแข็งของบริษัทที่สามารถปฏิบัติได้อย่างครบถ้วน

ส่วนสิ่งที่ต่างจากธุรกิจค้าปลีกทั่วไป คือ สินค้า ซึ่งไม่ใช่แค่สินค้าอุปโภคบริโภค แต่เป็นสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต และไม่มีการแข่งขันด้านราคาอย่างรุนแรง ทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทแข็งแกร่ง มีเสถียรภาพ มีความผันผวนต่ำ

ดังนั้น ฝ่ายวิจัยคาดกำไรสุทธิในปี 2564-2566 จะเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 35.8% ซึ่งประเมินราคาเป้าหมายปี 2565 อยู่ที่ 15 บาท (DCF)

“ฝ่ายวิจัยได้ประเมินราคาเป้าหมายปี 2565 อยู่ที่ 15 บาท อิง DCF สามารถ Implied PE และ PEG ที่ 35 เท่า และ 0.97 เท่า ตามลำดับใกล้เคียง PE ของกลุ่มค้าปลีก แต่เป็น PEG ที่ต่ำกว่ากลุ่มค้าปลีกพอควร ซึ่งปัจจุบันเทรดที่ 1.45 เท่า หากไม่รวม CPALL MAKRO ที่กำลังรวม Lotus’s พบว่า PEG ค้าปลีกจะอยู่ที่ 1.7 เท่า และยังต่ำกว่า PEG เฉลี่ยของร้านขายยาใน Global Peers ด้วย” ฝ่ายวิจัย บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าว

ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ระบุว่า HL เป็นบริษัทที่น่าสนใจจากการเป็นร้านขายยา Chain Store ที่มีรายได้ต่อสาขาสูงกว่าร้านขายยาที่มีจำนวนสาขาใกล้เคียงกัน สามารถบริหารจัดการต้นทุนได้ดีทำให้มีอัตรากำไรสุทธิสูงสุดในกลุ่มร้านยา Chain Store ที่มีรายได้/จำนวนสาขาใกล้เคียงกัน ซึ่งฝ่ายวิจัยได้ประเมินราคามูลค่าพื้นฐานในปี 2565 อยู่ที่ 14 บาท เนื่องจากคาดว่ากำไรสุทธิในช่วงปี 2564-2566 จะเติบโตระดับเฉลี่ยอยู่ที่ 37%

สำหรับปัจจัยสนับสนุนจากการคาดการณ์รายได้เติบโตเพิ่มขึ้นปีละ 16% ตามความต้องการยาและอาหารเสริมที่สูงขึ้น และการขยายสาขาที่เร่งตัวขึ้นปีละ 4-5 สาขา ทั้งนี้คาดว่า GPM ในปี 2564 จะอยู่ที่ระดับ 22.3% ในปี 2565 อยู่ที่ 22.8% และในปี 2566 อยู่ที่ 22.9% จากสัดส่วนรายได้จาก House brand ที่สูงขึ้น และความสามารถในการต่อรองราคาสินค้ากับ supplier ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิสูงขึ้นจาก economies of scale

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มีมุมมองเชิงบวกต่อศักยภาพในการเติบโตระยะยาวของ HL จากแผนขยายสาขาต่อเนื่อง แม้ว่าไม่ได้เน้นขยายสาขาจำนวนมาก แต่เน้นที่ทำเลมีศักยภาพ ทำให้มียอดขายต่อสาขาสูง และคุ้มทุนเร็ว รวมทั้งยังมีอัพไซด์ในอนาคต หากมีการเพิ่มโครงสร้างธุรกิจอื่นๆ เช่น การขายแฟรนไชส์ เป็นต้น

โดยประเมินว่า บริษัทจะมีการเติบโตของกำไรสุทธิระหว่างปี 2564-2566 อยู่ที่ 39.1%, 62.8% และ 26.2% ตามลำดับ คิดเป็นอัตราเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 42%

ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยได้ประเมินราคาเหมาะสมโดยอิง Forward PE 30 – 33 เท่า ซึ่งเป็นช่วงค่ากลางถึงค่าบนของ Forward PE ของ peer ที่นำมาเปรียบเทียบ ทำให้ประเมินราคาเหมาะสมในกรอบ 13.00-14.30 บาท

ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จํากัด (มหาชน) ระบุว่า จากฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของ HL ด้วยความสามารถในการเลือกที่ตั้งร้านได้อย่างเหมาะสมประกอบกับบริษัทมีการ คิดค้นและพัฒนาร่วมกับทีมวิจัยภายนอก เพื่อจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมเพื่อสุขภาพ โดยในอนาคตทางบริษัทมีแผนที่จะออกผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายได้มากขึ้น

พร้อมประเมินมูลค่าพื้นฐานปี 2565 ของ HL ที่ 14.00 บาท โดยอิงวิธี DCF โดยบริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิ

ทั้งนี้ มองว่าในปี 2564-2565 คาดกำไรเติบโตแบบก้าวกระโดด จากการขยายสาขาเพิ่มขึ้น โดยปี 2564 คาด HL มีกำไรสุทธิ 74 ล้านบาท โต 42.5% จากงวดเดียวกันปีก่อน จากการเปิดสาขาใหม่ 3 สาขา ได้แก่ ฟาร์แมกซ์โรบินสัน ลาดกระบัง ซึ่งได้เปิดทำการแล้วในไตรมาส 3 ในขณะที่ อีก 2 สาขา ได้แก่ ฟาร์แมกซ์ กรุงเทพกรีฑา และไอแคร์ มาร์เก็ตเพลส ตลาดถนอมมิตร คาดจะเปิดทำการในไตรมาส 4 ปีนี้

ขณะที่ในปี 2565 ไตรมาสแรกจะมีการเปิดสาขาใหม่เพิ่มอีก 1 สาขาคือ ไอแคร์ โครงการ ธนบุรีมาร์เก็ต โดยบริษัทมีการนำ Data Analytics มาใช้ในการวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้า ซึ่งช่วยตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ดีขึ้นประกอบกับเป็นการช่วยบริษัทในการบริหารสินค้าคงคลังให้มีประสิทธิภาพ

อีกทั้งยังช่วยในการวิเคราะห์สถานที่ในการตั้งสาขา เพื่อช่วยให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น ส่งผลให้บริษัทมีช่วงเวลา Payback Period ที่สั้นลง บริษัทยังมีแผนปรับปรุงสาขาร้านขายยาเดิมอย่างสม่ำเสมอ เพื่อดึงดูดให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการมากขึ้น ดังนั้นจึง คาดกำไรสุทธิปี 2565 ที่ 113 ล้านบาท เติบโต 53% จากงวดเดียวกันปีก่อน

Back to top button