HL ดีเดย์เทรดวันนี้ ลุ้นวิ่งชนเป้า 15 บ. ชูพื้นฐานแกร่ง กำไร 3 ปีโตเฉลี่ย 40%

HL ลงสนามเทรดวันแรก 7 โบรกเคาะราคาเหมาะสมสูงสุด 15 บ. ชูพื้นฐานธุรกิจแกร่ง คาดกำไร 3 ปีโตเฉลี่ยเกือบ 40%


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (3 ธ.ค.64) หลักทรัพย์บริษัท เฮลท์ลีด จำกัด (มหาชน) หรือ HL จะเข้าทำการซื้อขายในตลาดเอ็มเอไอ (mai) กลุ่มธุรกิจบริการ ด้วยราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) ที่ระดับ 9.80 บาท โดยมี บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด มหาชน เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

ด้านนายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ mai ยินดีต้อนรับ HL เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai ภายใต้กลุ่มบริการ โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า HL

โดย HL ประกอบธุรกิจลงทุนในบริษัทอื่น (holding company) ที่ประกอบธุรกิจร้านขายยา จำหน่ายยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ปัจจุบัน HL ถือหุ้นในบริษัทย่อย 100% คือ 1) บริษัท ไอแคร์ เฮลท์ จำกัด มีร้านขายยา 4 แบรนด์ ได้แก่ “iCare” “Pharmax” “vitaminclub” และ “Super Drug” โดยมีสินค้าที่จัดจำหน่ายรวมกว่า 10,000 รายการ ผ่านร้านขายยา 26 สาขาในพื้นที่กรุงเทพฯ

รวมถึง 2) บริษัท เฮลทิเนส จำกัด ประกอบธุรกิจคิดค้น และพัฒนาร่วมกับทีมวิจัยภายนอก รวมทั้งว่าจ้างผู้ผลิต เพื่อจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมเพื่อสุขภาพ ภายใต้แบรนด์ “PRIME” และ “Besuto” ในปี 2563 กลุ่มบริษัทมีรายได้จากการขายยาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และรายได้จากการขายอุปกรณ์การแพทย์ อื่นๆ ในสัดส่วนร้อยละ 70 : 30

สำหรับ HL มีทุนชำระแล้ว 136 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 200.00 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 72.00 ล้านหุ้น เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนครั้งแรก (IPO) โดยแบ่งเป็นเสนอขายต่อประชาชน จำนวนไม่เกิน 64.80 ล้านหุ้น และเสนอขายต่อกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อย จำนวนไม่เกิน 7.20 ล้านหุ้น เมื่อวันที่ 25 – 26 และ 29 พฤศจิกายน 2564 ในราคาเสนอขายหุ้นละ 9.80 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 705.60 ล้านบาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 2,665.60 ล้านบาท

ทั้งนี้ราคาเสนอขายหุ้น IPO คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) ที่ 37.57 เท่า โดยคำนวณกำไรสุทธิต่อหุ้นจากผลการดำเนินงานในช่วง 4 ไตรมาสล่าสุด (1 ตุลาคม 2563 – 30 กันยายน 2564) ซึ่งเท่ากับ 70.95 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (fully diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.26 บาท มีบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และ ผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย

ด้านเภสัชกร ธัชพล ชลวัฒนสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร HL เปิดเผยว่า บริษัทและบริษัทย่อยมุ่งเน้นคุณภาพการให้บริการ โดยร้านขายยาทุกสาขาจะมีเภสัชกรที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และมีประสบการณ์ อยู่ประจำทุกสาขาอย่างเต็มเวลา เพื่อให้คำแนะนำเรื่องการใช้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ กับลูกค้า โดยให้ความสำคัญกับทำเลที่ตั้งของร้านสาขา ตลอดจนการบริหารจัดการคลังสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปขยายสาขาและปรับปรุงสาขา และเป็นเงินทุนหมุนเวียน

ทั้งนี้ HL มีโครงสร้างผู้ถือหุ้นหลักหลัง IPO คือ กลุ่มครอบครัวพันธุกานนท์ ถือหุ้น 72.05% กลุ่มบริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิจากงบเฉพาะกิจการภายหลังจากหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และจัดสรรสำรองต่างๆทุกประเภทตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายและข้อบังคับของบริษัทฯ

บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ประเมินเกี่ยวกับหุ้น บริษัท เฮลท์ลีด จำกัด (มหาชน) หรือ HL ระบุว่า จะเป็นเชนร้านขายยาบริษัทแรกที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ซึ่งมีโครงสร้างธรุกิจคล้ายกลุ่มค้าปลีก ปัจจุบันยังมีสาขาไม่มากเพียง 25 สาขา ยังมีช่องว่างให้โตได้อีกมาก

ขณะที่อุปสรรคของผู้ประกอบการรายใหม่ค่อนข้างสูง เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีกฎระเบียบเข้มงวด ทั้งสถานประกอบการและคุณภาพการเก็บยาต้องมีเภสัชคอยให้คำแนะนำ อีกทั้งยังต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ผลิต และผู้จัดจำหน่าย ซึ่งเป็นจุดแข็งของบริษัทที่สามารถปฏิบัติได้อย่างครบถ้วน

ส่วนสิ่งที่ต่างจากธุรกิจค้าปลีกทั่วไป คือ สินค้า ซึ่งไม่ใช่แค่สินค้าอุปโภคบริโภค แต่เป็นสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต และไม่มีการแข่งขันด้านราคาอย่างรุนแรง ทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทแข็งแกร่ง มีเสถียรภาพ มีความผันผวนต่ำ

ดังนั้น ฝ่ายวิจัยคาดกำไรสุทธิในปี 2564-2566 จะเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 35.8% ซึ่งประเมินราคาเป้าหมายปี 2565 อยู่ที่ 15 บาท (DCF)

“ฝ่ายวิจัยได้ประเมินราคาเป้าหมายปี 2565 อยู่ที่ 15 บาท อิง DCF สามารถ Implied PE และ PEG ที่ 35 เท่า และ 0.97 เท่า ตามลำดับใกล้เคียง PE ของกลุ่มค้าปลีก แต่เป็น PEG ที่ต่ำกว่ากลุ่มค้าปลีกพอควร ซึ่งปัจจุบันเทรดที่ 1.45 เท่า หากไม่รวม CPALL MAKRO ที่กำลังรวม Lotus’s พบว่า PEG ค้าปลีกจะอยู่ที่ 1.7 เท่า และยังต่ำกว่า PEG เฉลี่ยของร้านขายยาใน Global Peers ด้วย” ฝ่ายวิจัย บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าว

ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จํากัด (มหาชน) ระบุว่า จากฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของ HL ด้วยความสามารถในการเลือกที่ตั้งร้านได้อย่างเหมาะสมประกอบกับบริษัทมีการ คิดค้นและพัฒนาร่วมกับทีมวิจัยภายนอก เพื่อจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมเพื่อสุขภาพ โดยในอนาคตทางบริษัทมีแผนที่จะออกผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายได้มากขึ้น

พร้อมประเมินมูลค่าพื้นฐานปี 2565 ของ HL ที่ 14.00 บาท โดยอิงวิธี DCF โดยบริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิ

ทั้งนี้ มองว่าในปี 2564-2565 คาดกำไรเติบโตแบบก้าวกระโดด จากการขยายสาขาเพิ่มขึ้น โดยปี 2564 คาด HL มีกำไรสุทธิ 74 ล้านบาท โต 42.5% จากงวดเดียวกันปีก่อน จากการเปิดสาขาใหม่ 3 สาขา ได้แก่ ฟาร์แมกซ์โรบินสัน ลาดกระบัง ซึ่งได้เปิดทำการแล้วในไตรมาส 3 ในขณะที่ อีก 2 สาขา ได้แก่ ฟาร์แมกซ์ กรุงเทพกรีฑา และไอแคร์ มาร์เก็ตเพลส ตลาดถนอมมิตร คาดจะเปิดทำการในไตรมาส 4 ปีนี้

ขณะที่ในปี 2565 ไตรมาสแรกจะมีการเปิดสาขาใหม่เพิ่มอีก 1 สาขาคือ ไอแคร์ โครงการ ธนบุรีมาร์เก็ต โดยบริษัทมีการนำ Data Analytics มาใช้ในการวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้า ซึ่งช่วยตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ดีขึ้นประกอบกับเป็นการช่วยบริษัทในการบริหารสินค้าคงคลังให้มีประสิทธิภาพ

อีกทั้งยังช่วยในการวิเคราะห์สถานที่ในการตั้งสาขา เพื่อช่วยให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น ส่งผลให้บริษัทมีช่วงเวลา Payback Period ที่สั้นลง บริษัทยังมีแผนปรับปรุงสาขาร้านขายยาเดิมอย่างสม่ำเสมอ เพื่อดึงดูดให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการมากขึ้น ดังนั้นจึง คาดกำไรสุทธิปี 2565 ที่ 113 ล้านบาท เติบโต 53% จากงวดเดียวกันปีก่อน

ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ระบุว่า HL เป็นบริษัทที่น่าสนใจจากการเป็นร้านขายยา Chain Store ที่มีรายได้ต่อสาขาสูงกว่าร้านขายยาที่มีจำนวนสาขาใกล้เคียงกัน สามารถบริหารจัดการต้นทุนได้ดีทำให้มีอัตรากำไรสุทธิสูงสุดในกลุ่มร้านยา Chain Store ที่มีรายได้/จำนวนสาขาใกล้เคียงกัน ซึ่งฝ่ายวิจัยได้ประเมินราคามูลค่าพื้นฐานในปี 2565 อยู่ที่ 14 บาท เนื่องจากคาดว่ากำไรสุทธิในช่วงปี 2564-2566 จะเติบโตระดับเฉลี่ยอยู่ที่ 37%

สำหรับปัจจัยสนับสนุนจากการคาดการณ์รายได้เติบโตเพิ่มขึ้นปีละ 16% ตามความต้องการยาและอาหารเสริมที่สูงขึ้น และการขยายสาขาที่เร่งตัวขึ้นปีละ 4-5 สาขา ทั้งนี้คาดว่า GPM ในปี 2564 จะอยู่ที่ระดับ 22.3% ในปี 2565 อยู่ที่ 22.8% และในปี 2566 อยู่ที่ 22.9% จากสัดส่วนรายได้จาก House brand ที่สูงขึ้น และความสามารถในการต่อรองราคาสินค้ากับ supplier ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิสูงขึ้นจาก economies of scale

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด มองราคาเป้าหมายปี 2565 ของ HL ที่ 13.7 บาท ภายใต้จุดเด่นประสบการณ์ 28 ปี จึงมีสายสัมพันธ์กับซัพพลายเออร์หลากหลาย, ความสามารถกำหนดที่ตั้งสาขา และการบริหารที่เป็นระบบ ที่ผ่านมาเติบโตสูงกว่าผู้ประกอบการที่มีสาขาและรายได้ใกล้เคียงกลุ่มบริษัท

ขณะที่โอกาสธุรกิจยังสูง ทั้งอุตสาหกรรมโตปีละ 4%-5% ขณะที่โครงสร้างตลาดยังกระจายตัว เงิน IPO จะใช้รองรับการขยายสาขาอีก 3 ปี ปีละ 4-5 สาขา จากที่มี 25 สาขา เพิ่มส่วนแบ่งตลาด คาดกำไรปี 2564-66 โตถึงปีละ 36.2 % มูลค่าหุ้นปี 2565 อิง DCF (WACC 8.2%, growth 3%) อยู่ที่ 13.7 บาท เทียบเท่า PER ปี 65 ที่ 32.4 เท่า ใกล้ค่าเฉลี่ยกลุ่มค้าปลีก+การแพทย์ (ไม่รวม รพ.ต่างชาติ)

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ เกี่ยวกับ HL ถึงความน่าสนใจในการลงทุน ประกอบด้วย 1. “Experienced Management” ผู้บริหารของบริษัทมีประสบการณ์ในธุรกิจร้านขายยามากกว่า 28 ปี และผู้บริหารส่วนใหญ่เป็นเภสัชกร ทำให้มีความรู้และความเข้าใจถึงผลิตภัณฑ์ และการดำเนินธุรกิจร้านขายยาเป็นอย่างดี

2.“Prime Location” บริษัทมีความสามารถในการเลือกสถานที่ตั้งร้านได้อย่างเหมาะสม โดยเน้นเปิดสาขาในพื้นที่ที่มีศักยภาพ มีผู้คนสัญ จรผ่านจำนวนมาก เลือกส่วนที่อยู่ด้านหน้า หรือส่วนที่เป็นพื้นที่หลักของโครงการ มีที่จอดรถสำหรับลูกค้าเน้นเปิดร้านขายยาที่มีขนาดร้านที่ค่อนข้างใหญ่ สามารถจัดวางสินค้าครบครัน เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า

โดยสาขาของร้านยาทั้ง 4 แบรนด์กระจายอยู่ตามพื้นที่ชุมชน ตลาด ศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า ครอบคลุมทั่วพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยมีกลยุทธ์เลือกแบรนด์ร้านขายยาตามความเหมาะสม คำนึงถึง Life Style ของลูกค้าในพื้นที่เป็นหลัก โดยแต่ละแบรนด์จะมีสินค้าและระดับราคาที่แตกต่างกันไปตามกลุ่มเป้าหมาย

3.“Professional Service” ร้านขายยาของบริษัทมีเภสัชกรที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญอยู่ประจำทุกสาขาอย่างเต็มเวลา เพื่อคอยให้คำแนะนำและคำปรึกษาเรื่องการใช้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ สร้างความมั่นใจได้ถึงการให้บริการอย่างมีคุณภาพ

4.“Solid Fundamentals” คาดบริษัทมีความสามารถในการทำกำไรดีขึ้น โดยประมาณการกำไรสุทธิปี 2564-2566 จำนวน 72 ล้านบาท 115 ล้านบาท และ 139 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นการเติบโตในอัตราเฉลี่ย (CAGR) ราว 38.7% ต่อปี คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิต่อยอดขาย 6.0% 7.9% และ 8.3% ตามลำดับ จากการปรับปรุงและขยายสาขาการให้บริการอย่างมืออาชีพ

รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ House Brand (Prime, Besuto) ของบริษัทที่มีอัตรากำไรสูง นอกจากนี้คาดฐานะการเงินแข็งแกร่งหลังการทา IPO โดยจะมีสถานะเป็น Net Cash พร้อมต่อการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ประเมินราคาเป้าหมายปี 2565 ของ HL ไว้ที่ 13.51 บาท

ส่วน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า HL ประกอบธุรกิจลงทุนใน 1) บริษัท ไอแคร์เฮลท์ จำกัด ประกอบธุรกิจร้านขายยา จำหน่ายยา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์การแพทย์ ภายใต้แบรนด์ “iCare”, “Pharmax”, “vitaminclub” และ “Super Drug” และ2) บริษัท เฮลทิเนส จำกัด ประกอบธุรกิจคิดค้น และพัฒนาร่วมกับทีมวิจัยภายนอก รวมทั้งว่าจ้างผู้ผลิตเพื่อจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ และนวัตกรรมเพื่อสุขภาพ ภายใต้แบรนด์ “PRIME” และ “Besuto” โดยการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ครั้งนี้เพื่อใช้เป็นแหล่งเงินทุนสำหรับการขยายสาขาและปรับปรุงสาขาและเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการ ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าเหมาะสมปี 2565 ที่ 13.5 บาทต่อหุ้น

ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มีมุมมองเชิงบวกต่อศักยภาพในการเติบโตระยะยาวของ HL จากแผนขยายสาขาต่อเนื่อง แม้ว่าไม่ได้เน้นขยายสาขาจำนวนมาก แต่เน้นที่ทำเลมีศักยภาพ ทำให้มียอดขายต่อสาขาสูง และคุ้มทุนเร็ว รวมทั้งยังมีอัพไซด์ในอนาคต หากมีการเพิ่มโครงสร้างธุรกิจอื่นๆ เช่น การขายแฟรนไชส์ เป็นต้น

โดยประเมินว่า บริษัทจะมีการเติบโตของกำไรสุทธิระหว่างปี 2564-2566 อยู่ที่ 39.1%, 62.8% และ 26.2% ตามลำดับ คิดเป็นอัตราเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 42%

ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยได้ประเมินราคาเหมาะสมโดยอิง Forward PE 30 – 33 เท่า ซึ่งเป็นช่วงค่ากลางถึงค่าบนของ Forward PE ของ peer ที่นำมาเปรียบเทียบ ทำให้ประเมินราคาเหมาะสมในกรอบ 13.00-14.30 บาท

Back to top button