เปิดหุ้นเด็ด BBIK-IIG-BE8 รับกระแส “ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน” โบรกฯชี้กำไรปีนี้โต 40%

ส่อง 3 หุ้นเทคฯ รับกระแส "ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน"บริษัทที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยี หลังความต้องการของภาคธุรกิจต่างๆเห็นถึงความสำคัญด้านเทคโนโลยี และมีการเร่ง Transform ธุรกิจไปสู่ดิจิทัลมากขึ้นโบรกฯชี้ BBIK- IIG- BE8 กำไรปีนี้โต 40%


โลกปัจจุบันก้าวสู่กระแส Digital Transformation ด้วยภาคธุรกิจต่างให้ความสำคัญ และไม่สามารถเลี่ยงได้ เพราะนั่นคือการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันให้กับธุรกิจเพื่อให้เข้าถึงลูกค้าและตรงกลุ่มเป้าหมาย ดังนั้นหนีไม่พ้นบริษัทที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีจะมีความสำคัญไม่แพ้กัน

ขณะนี้ตลาดมีความต้องการด้านนี้อยู่มาก ซึ่งเป็นโอกาสให้กับ Tech consult โดยในปี 2565 น่าจะเห็นการลงทุนด้านเทคโนโลยีของบริษัทต่างๆมากขึ้น ในอีกด้าน Tech consult ที่เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ก็ได้รับการตอบรับ และปัจจุบันนักลงทุนสถาบันเริ่มให้ความสนใจเข้ามาลงทุนในกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น ปีนี้ก็คงได้เห็นการเติบโตของหุ้นกลุ่มนี้อย่างชัดเจนมากขึ้น ได้แก่ บริษัท ไอแอนด์ไอ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ IIG, บริษัท เบริล 8 พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ BE8, บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BBIK

เบื้องต้นสำหรับ บริษัท ไอแอนด์ไอ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ IIG ทางบล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า IIG จะเติบโตแข็งแกร่งจากอุปสงค์ด้าน Digital Transformation และดีลต่างๆอีกจำนวนมาก ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนการเติบโตอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับปรับประมาณการรายได้ และกำไรสุทธิ รวมถึงราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้น

สอดคล้องกับบริษัท เบริล 8 พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ BE8 ที่ทาง บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ว่า BE8 โดยคาดว่าจะมีกำไรปี 2564-2565 เติบโตสูงต่อเนื่องเฉลี่ย 41% จากทั้งกำไรธุรกิจในประเทศที่เติบโตสูง โดยมาจากงานเอกชน และงานภาครัฐที่คาดจะเข้ามาเพิ่ม และจากธุรกิจในต่างประเทศ โดยเฉพาะในเวียดนาม ซึ่งคาดสามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดด แม้ปัจจุบันราคาหุ้น BE8 ซื้อขายบนค่า PER ปี 2565 สูงราว 75 เท่าก็ตาม แต่มองว่าหุ้นสมควรซื้อในระดับพรีเมียมเนื่องจากบริษัทอยู่ในช่วงเติบโตสูง และมีศักยภาพในการเติบโตได้อีกมากเนื่องจากบริษัทต่างๆเพิ่งอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการทำ Digital Transformation

ดังนั้นนับเป็นหุ้นที่ได้ประโยชน์อย่างมากจากการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิตอล ในภาวะอุตสาหกรรมเติบโตเฉลี่ยกว่า 29% และเป็นผู้นำด้านการทำ Digital transformation ด้านการบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า และเป็นพาร์ทเนอร์ระดับสูงสุดของ Salesforce อันดับ 1 ด้าน CRM ของโลก

นอกจากนี้คาดกำไรเติบโตเฉลี่ยสูง 41% ต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้า จากทั้งการเติบโตที่สูงในประเทศและการเติบโตแบบก้าวกระโดดในต่างประเทศ โดยเฉพาะเวียดนาม และสัดส่วน recurring income ราว 40% และจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงคาด backlog เข้ามาเติมอีกมากในปี 2565 ทั้งโครงการรัฐและเอกชนจากปัจจุบันอยู่ที่ 300 ล้านบาท

รวมทั้ง บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BBIK ในปัจจุบันบริษัทฯ ได้ขยายการบริการแก่ลูกค้าในต่างประเทศ โดยเข้าไปให้บริการพัฒนาแพลตฟอร์มด้านการเงินเพื่อรองรับการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันแก่ลูกค้าองค์กร ในประเทศอินโดนีเซียและสิงคโปร์ โดยผลตอบรับถือว่าเป็นที่น่าพอใจเนื่องจากได้รับงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าในปี 2564 จะสร้างรายได้คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10% ของรายได้รวม และมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่องในปี 2565 อย่างแข็งแกร่งต่อเนื่อง

ขณะเดียวกัน นายนภนต์ ใจแสน ผู้ช่วยผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.บัวหลวง กล่าวว่า กระแสของ Digital Transformation ที่เกิดขึ้น ส่งผลให้ภาคธุรกิจต่างๆ เริ่มหันมาให้ความสำคัญมากขึ้น เพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับธุรกิจ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับธุรกิจ โดยในช่วงที่ผ่านมาการลงทุนทางด้านเทคโนโลยีของภาคธุรกิจจะเกิดขึ้นในองค์กรขนาดใหญ่เป็นส่วนใหญ่ แต่มองว่าในปี 2565 องค์กรขนาดกลางและเล็กจะเริ่มมีการลงทุนด้านเทคโนโลยีมากขึ้น ซึ่งเป็นจะเป็นปัจจัยหนุนต่อกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีในตลาดหุ้นไทยที่จะได้รับประโยชน์

พร้อมกับประเมินในปี 2565 มองว่าเม็ดเงินลงทุนด้านเทคโนโลยีและดิจิทัลของภาคธุรกิจต่างๆจะออกมาอย่างมาก หลังจากที่ในช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 ระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา การลงทุนต่างๆมีการชะลอไป แต่ในปี 2565 หลังจากภาคธุรกิจเริ่มมีการปรับตัวและสถานการณ์โควิด-19 สามารถควบคุมได้ ทำให้จะเห็นการลงทุนด้านเทคโนโลยีออกมา รวมถึงปริมาณงานที่จะออกมาประมูลจะออกมาค่อนข้างมาก จากความต้องการของภาคธุรกิจต่างๆที่เล็งเห็นถึงความสำคัญด้านเทคโนโลยี และมีการเร่ง Transform ธุรกิจไปสู่ดิจิทัลมากขึ้น

ขณะที่ในแง่ของผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีในตลาดถือว่ามีอยู่ไม่มาก ทำให้การเข้าถึงตลาดของผู้ประกอบสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ง่ายเมื่อเทียบกับขนาดของตลาดที่มีความต้องการเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้มีการแข่งขันน้อย และผู้ประกอบการในกลุ่มเทคโนโลยีที่อยู่ในตลาดหุ้นไทยแต่ละรายมีความเชี่ยวชาญในด้านที่แตกต่างกัน หรือบางรายที่มีความเชี่ยวชาญที่คล้อยกัน อย่างเช่นบริษัท ไอแอนด์ไอ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ IIG และ บริษัท เบริล 8 พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ BE8

อย่างไรก็ตามแต่มองว่าจะไม่เห็นการแข่งขันด้านราคากัน เนื่องจากความต้องการในตลาดมีอยู่มาก และเป็นธุรกิจที่ต้องใช้ทักษะและความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ทำให้การแข่งขันในธุรกิจดังกล่าวจะไม่เห็นการแข่งขันราคากัน 

“มองในตลาดธุรกิจเทคโนโลยีจะเห็นว่ามี Supply น้อยกว่า Demand มาก จากความต้องการของธุรกิจต่างๆที่ต้องการลงทุนด้านเทคโนโลยีและดิจิทัลมากขึ้น การเร่งของ Digital Transformation ที่ภาคธุรกิจเห็นถึงโอกาสในการเพิ่มศักยภาพ และเม็ดเงินในการลงทุนที่เลื่อนมาจะออกมามากในปี 2565 ทำให้ปี 2565 ธุรกิจใหญ่ กลาง เล็ก จะมีงานออกมาให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีเข้ามาช่วยจำนวนมาก และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี หรือ Tech consult ยังเป็นธีมในระดับ Global ที่จะยังคงเป็นดาวรุ่งต่อเนื่อง” นายนภนต์ กล่าว

ด้านแนวโน้มผลงานของกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีในตลาดหุ้นไทยยังมองว่ามีโอกาสเติบโตขึ้นได้อีกมาก ซึ่งเป็นกลุ่มหุ้นที่จะเห็นทิศทางของผลการดำเนินงานเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากปริมาณงานที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีที่ยังคงมีมาอย่างต่อเนื่อง และแม้ว่าปัจจุบันราคาหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีจะมีการปรับตัวขึ้นไปค่อนข้างมาก แต่ในส่วนของการลงทุนมองว่าหุ้นในกลุ่มนี้จะเป็นหุ้นที่มีราคาค่อนข้างสูงอยู่แล้ว โดยการลงทุนนั้นนักลงทุนส่วนใหญ่จะมองข้ามในเรื่องของความแพงของราคาและ P/E ไป แต่จะมองในเรื่องของศักยภาพในการเติบโตของธุรกิจมากกว่า ว่าธุรกิจนั้นๆจะมีการเติบโตได้อย่างไร

โดยมองว่าหุ้นเด่นในกลุ่มเทคโนโลยีในตลาดหุ้นไทยในปี 2565 ได้แก่ หุ้นที่คาดว่ากำไรจะเติบโตได้ในระดับ 150-200% เช่น SABUY และหุ้นที่คาดว่ากำไรจะเติบโตในระดับ 30-40% เช่น BBIK, YGG, IIG และ BE8 เป็นต้น

นอกจากนี้นักลงทุนสถาบันเริ่มมีความสนใจเข้ามาลงทุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น จากที่เมื่อก่อนหุ้นกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นหุ้นที่มี Market Cap ขนาดเล็ก ทำให้นักลงทุนสถาบันอาจจะมองข้าม แต่ปัจจุบันกระแสของเทคโนโลยีและดิจิทัลที่มาแรง และเป็นธีมหลักในระดับโลก ทำให้นักลงทุนสถาบันหันมาสนใจเข้ามาเริ่มลงทุนในหุ้นกลุ่มดังกล่าว เพื่อเป็นการลงทุนในธีมที่เกี่ยวข้องกับกระแสของโลก และการเติบโตได้อีกมากของธุรกิจ ซึ่งสามารถเปรียบหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีในตลาดหุ้นไทยเป็นเหมือน

ขณะที่ นักวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจ Tech consult ที่จะมีความโดดเด่นค่อนข้างมาก เนื่องจากยังเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีการเติบโตได้ในระดับสูงในช่วง 2-3 ปีนี้ และเป็นกลุ่มธุรกิจที่ได้รับประโยชน์จากโควิด-19 ที่เป็นปัจจัยเร่งภาคธุรกิจเล็งเห็นถึงความสำคัญในการนำเทคโนโลยีและดิจิทัลเข้ามาใช้ ประกอบกับพฤติกรรมของคนในปัจจุบันได้เริ่มเข้าสู่การเป็น Digitalize มากขึ้น

สำหรับแนวโน้มของปริมาณงานที่เกี่ยวข้องกับภาคธุรกิจต่างๆยังคงมีออกมามากและมีออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เป็นปัจจัยหนุนต่อ Potential upside ให้กับผู้ประกอบการในกลุ่มเทคโนโลยี ในแง่ของ Backlog และผลการดำเนินงาน แต่ในขณะเดียวกันปัจจัยในเรื่องของคนที่จะมาทำงาน ถือเป็นหนึ่งปัจจัยที่ธุรกิจในกลุ่มนี้ให้ความสำคัญค่อนข้างมาก เพราะปัจจุบันคนที่มีความเชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยียังมีค่อนข้างจำกัด ซึ่งแต่ละธุรกิจจะต้องมีการเตรียมความพร้อมในด้านของคนที่มาทำงานให้เพียงพอกับปริมาณงานที่เข้ามา เพราะคนถือเป็นหนึ่งในปัจจัยที่กำหนด Revenue Capacity ซึ่งจะส่งผลต่อความสามารถในการเติบโตของธุรกิจ

“แม้ว่าอุตสาหกรรมจะเติบโตเร็วแค่ไหน แต่หากไม่สามารถ Secure ตัวของ Capacity ได้เพียงพอ อันนี้จะเป็น Key risk ต่อการเติบโตในอนาคต แต่ก็ยังมองภาพรวมของกลุ่มนี้ยังเป็น Positive views เพราะเป็นกลุ่มธุรกิจที่ยังมีการเติบโตสูง และอิงกับธีม Global” นักวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย กล่าว

ขณะที่ในปัจจุบันนักลงทุนสถาบันเริ่มให้ความสนใจเข้ามาลงทุนในกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น แม้ว่าในช่วงที่หุ้นในกลุ่มนี้เสนอขาย IPO จะไม่มีนักลงทุนสถาบันเข้ามาจับจองมากก็ตาม และหลังเข้าตลาดหุ้นในกลุ่มนี้บางตัวราคายังนิ่ง แต่ปัจจุบันจากกระแสของ Digital Transformation เป็นปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนสถาบันเริ่มมามองการลงทุนหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีมากขึ้น จะเห็นได้จากแรงซื้อในช่วงที่ผ่านมาหลังจากบริษัทในกลุ่มดังกล่าวเริ่มเดินสายให้ข้อมูลกับนักลงทุนสถาบัน โดยเฉพาะในกลุ่มของ Tech consult ที่มองว่าจะเป็นกลุ่มที่ Outperform มากในปี 2565 คงหนีไม่พ้น  บริษัท ไอแอนด์ไอ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ IIG, บริษัท เบริล 8 พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ BE8, บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BBIK ที่จะได้รับอานิสงส์จากปริมาณงานที่เข้ามามาก

อย่างไรก็ตามแม้ว่าราคาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในตลาดหุ้นไทยจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับสูง แต่ยังมองว่าธุรกิจในกลุ่มนี้ยังสามารถเห็นการเติบโตแบบ Inorganic ได้ เพราะเป็นธุรกิจที่มีหนี้สินน้อย หรือเป็น Cash Cow Company และเป็นธุรกิจที่ Asset Light ทำให้มีเงินรองรับการลงทุนใหม่ๆได้มาก เพิ่มความสามารถในการลงทุนต่อยอดธุรกิจ ซึ่งเงินที่มีอยู่จะรอการลงทุนใหม่ในรูปแบบต่างๆ ทั้ง การ่วมทุนกับบริษัทอื่นๆ การจับมือกับพันธมิตรต่างประเทศเพื่อขยายธุรกิจไปต่างประเทศ เป็นต้น ทำให้เป็นกลุ่มหุ้นที่ยังเห็นการเติบโตได้อีกมากในอนาคต

Back to top button