“ดาวโจนส์” ดิ่งกว่า 500 จุด ผวาสงครามยูเครน-เฟดขึ้นดอกเบี้ย

“ดาวโจนส์” ดิ่งกว่า 500 จุด ปรับตัวลงเป็นวันทำการที่ 7 ติดต่อกัน ผวาสงครามยูเครน โดยสหรัฐและอังกฤษได้แจ้งให้ประชาชนของตนเร่งอพยพออกจากยูเครน และกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ย


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลงอย่างต่อเนื่องในวันนี้ ล่าสุดทรุดลงกว่า 500 จุด ปรับตัวลงเป็นวันทำการที่ 7 ติดต่อกัน ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและชาติตะวันตกเกี่ยวกับยูเครน

นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วและแรงกว่าที่คาดไว้เพื่อสกัดเงินเฟ้อ

โดย ณ เวลา 21.49 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 33,719.43 จุด ลบ 545.94 จุด หรือ 1.59%

สำหรับดัชนีความผันผวน CBOE หรือ CBOE Volatility Index (VIX) ซึ่งเป็นมาตรวัดความวิตกของนักลงทุนในตลาดหุ้นวอลล์สตรีท พุ่งขึ้นเหนือระดับ 30 ในวันนี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2564

ขณะเดียวกันสหรัฐและอังกฤษได้แจ้งให้ประชาชนของตนเร่งอพยพออกจากยูเครน ขณะที่องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ประกาศเสริมกำลังทหารทั้งทางบก ทะเล และทางอากาศตามพรมแดนฝั่งตะวันออก เนื่องจากมีความเป็นไปได้มากขึ้นที่รัสเซียอาจทำการโจมตียูเครนในไม่ช้า

ด้านรัสเซียตรึงกำลังทหารเกือบ 100,000 นายประชิดชายแดนยูเครน ขณะที่การเจรจาระหว่างรัสเซียและชาติตะวันตกยังคงไม่มีความคืบหน้า

อีกทั้งตลาดจับตาการประชุมนโยบายการเงินของเฟดในวันที่ 25-26 ม.ค. หลังจากที่เจ้าหน้าที่เฟดหลายรายต่างแสดงความเห็นสนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมี.ค.เพื่อสกัดเงินเฟ้อ ซึ่งรวมถึงนางลาเอล เบรนาร์ด หนึ่งในคณะผู้ว่าการเฟด, นายชาร์ลส์ อีแวนส์ ประธานเฟด สาขาชิคาโก, นายแพทริก ฮาร์เกอร์ ประธานเฟด สาขาฟิลาเดลเฟีย และนางแมรี ดาลี ประธานเฟด สาขาซานฟรานซิสโก

ส่วน FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนักมากถึง 100% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมนโยบายการเงินในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นเดือนที่เฟดยุติโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) พร้อมกับคาดว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 4 ครั้งในปีนี้

ด้านโกลด์แมน แซคส์คาดการณ์ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่า 4 ครั้งในปีนี้ และจะเริ่มปรับลดขนาดงบดุลในเดือนก.ค.หรือเร็วกว่านั้น จากปัจจุบันที่พุ่งสูงกว่า 8 ล้านล้านดอลลาร์

นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ไมโครซอฟท์, เทสลา และ แอปเปิล

Back to top button