“ทริส” อัพเรทติ้งองค์กร ORI ระดับ “BBB+” สะท้อนกำไรแกร่ง-ภาระหนี้ลด

“ทริสเรทติ้ง” อัพเรทติ้งองค์กร ORI ระดับ “BBB+” จากเดิม "BBB" สะท้อนกำไรแกร่ง-ภาระหนี้ลด เปลี่ยนแนวโน้มเป็น Stable จากเดิม "Positive" พร้อมจัดเครดิตหุ้นกู้ 6 พันลบ. ที่ "BBB+"


ทริสเรทติ้ง เพิ่มอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เป็นระดับ  “BBB+” จากเดิมที่ระดับ “BBB” และเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น “Stable” หรือ “คงที่” จาก “Positive” หรือ “บวก”  พร้อมทั้งยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 6 พันล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 5 ปี ของบริษัทที่ระดับ “BBB+” เช่นเดียวกันอีกด้วย

โดยในการนี้ อันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทอยู่ในระดับเท่ากับอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทเนื่องจากอัตราส่วนหนี้สินที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้สินรวมของบริษัท ณ เดือนธันวาคม 2564 อยู่ที่ระดับ 41.5% ซึ่งต่ำกว่าระดับ 50% ตาม “เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้” ของทริสเรทติ้ง โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ชำระคืนหนี้หุ้นกู้ชุดเดิมบางส่วนและใช้เป็นเงินทุนในการขยายกิจการ

สำหรับอันดับเครดิตที่เพิ่มขึ้นสะท้อนถึงสถานะทางการตลาดของบริษัทที่ดีขึ้น ตลอดจนผลกำไรที่แข็งแกร่ง และระดับภาระหนี้ที่ลดลง ถึงแม้ว่าการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) จะยืดเยื้อ แต่บริษัทก็ยังมีรายได้เพิ่มขึ้นและสามารถรักษากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ให้อยู่ที่ระดับประมาณ 4-5 พันล้านบาทรวมทั้งเงินทุนจากการดำเนินงานให้อยู่ที่ระดับประมาณ 2.6-3.2 พันล้านบาทได้

ขณะที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัท (รวมภาระหนี้ตามสัดส่วนของบริษัทในโครงการร่วมทุน) ก็ลดลงมาอยู่ที่ 56% ในปี 2564 จากระดับประมาณ 67% ในปี 2562 อีกด้วย

นอกจากนั้นอันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงความสามารถในการทำกำไรของบริษัทที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอุตสาหกรรม ตลอดจนมูลค่ายอดขายที่รอรับรู้เป็นรายได้จำนวนมาก และส่วนแบ่งกำไรจากโครงการร่วมค้าที่คาดว่าจะมีจำนวนมากในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงภาระหนี้ของบริษัทที่อยู่ในระดับค่อนข้างสูงจากผลของการขยายธุรกิจแบบเชิงรุกทั้งในธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยและอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ รวมทั้งความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่ยืดเยื้อของโรคโควิด 19 ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเพิ่มความกดดันให้แก่อุปสงค์คอนโดมิเนียมต่อไปอีกด้วย

ส่วนแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันและสถานะทางการตลาดเอาไว้ได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงสามารถส่งมอบสินค้าจำนวนมากได้ตามแผนการที่วางไว้ และแม้จะมีแผนการขยายธุรกิจแบบเชิงรุก ทริสเรทติ้งก็ยังคาดว่าบริษัทจะรักษาผลการดำเนินงานที่ดีเอาไว้ได้และรักษาอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนให้ต่ำกว่าระดับ 60% ในขณะที่อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินยังคงอยู่ที่ระดับ 10%-15% ต่อไปได้ในช่วง 3 ปีข้างหน้าถึงแม้ว่าอุปสงค์ที่อยู่อาศัยจะชะลอตัวและภาวะเศรษฐกิจจะยังคงไม่ฟื้นตัวจากผลของการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ก็ตาม

ทั้งนี้อันดับเครดิตของบริษัทอาจมีการปรับเพิ่มขึ้นได้หากฐานรายได้และกระแสเงินสดของบริษัทเติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญโดยที่บริษัทยังสามารถรักษาความสามารถในการทำกำไรเอาไว้ได้และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนอยู่ที่ระดับประมาณ 50%-55% ได้อย่างต่อเนื่อง ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจมีการปรับลดลงหากผลการดำเนินงานหรือสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงจากระดับปัจจุบันอย่างมีนัยสำคัญจนเป็นผลให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทเพิ่มขึ้นจนอยู่ในระดับที่เกินกว่า 60% และ/หรืออัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินลดลงต่ำกว่า 10% เป็นเวลาที่ต่อเนื่อง

Back to top button