มติเอกฉันท์! ผู้ถือหุ้น DTAC-TRUE ไฟเขียวควบรวม เดินหน้าตั้งบริษัทใหม่ก.ย.นี้

มติเอกฉันท์! ผู้ถือหุ้น DTAC-TRUE โหวตอนุมัติแผนควบรวม โดย DTAC ผ่านด้วยคะแนนเสียง 89% ส่วน TRUE ผ่านด้วยคะแนนเสียง 99% เดินหน้าตั้งบริษัทใหม่ฉลุย “กลุ่มซีพี” ถือหุ้น 28.98% “เทเลนอร์” ถือหุ้น 27.35% คาดเสร็จสิ้นภายในก.ย.65 ลุยลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน คาดมาร์เก็ตแชร์สูงสุด 40%


บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DTAC เปิดเผยว่า ที่ประชุมผู้ถือหุ้นวันนี้มีมติอนุมัติแผนการควบรวมบริษัทระหว่าง DTAC และ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE ด้วยคะแนนเสียง 89.0787% ของผู้ที่มีสิทธิออกเสียง ซึ่งถือว่าไม่น้อยกว่า 3 ใน 4  ของผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิออกเสียง ขณะที่มีผู้ถือหุ้นที่ไม่เห็นด้วย 10.9210%

ขณะที่ที่ประชุมผู้ถือหุ้น TRUE มีมติเป็นเอกฉันท์ 99.3713% อนุมัติการควบบริษัทระหว่าง TRUE กับ DTAC  ส่วนผู้ที่ไม่เห็นด้วย 0.6283%

ทั้งนี้ ในการควบรวมกิจการจะได้มีการจัดสรรหุ้นในบริษัทใหม่ที่เกิดจากการควบบริษัท (บริษัทใหม่) ให้แก่ผู้ถือหุ้นของ  DTAC และผู้ถือหุ้น TRUE ในอัตราส่วน 1 หุ้นเดิมใน DTAC ต่อ 6.13444 หุ้นในบริษัทใหม่ และ 1 หุ้นเดิมใน TRUE ต่อ 0.60018 หุ้นในบริษัทใหม่ และที่ประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัติการลดทุนจดทะเบียนจำนวน 8,539,260 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิมจำนวน 4,744,161,260 บาท แบ่งเป็น 2,372,080,630 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 2 บาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่จำนวน 4,735,622,000 บาท โดยการตัดหุ้นที่ยังมิได้นำออกจำหน่ายจำนวน 4,269,630 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 2 บาท

โดยบริษัทใหม่จะมีทุนจดทะเบียนและทุนจดทะเบียนชำระแล้ว จำนวน 138,208,403,204 บาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 34,552,100,801 หุ้น โดยมีมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 4 บาท

ด้าน นายชารัด เมห์โรทรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร DTAC กล่าวว่า การควบรวมกิจการระหว่าง DTAC และ TRUE จะมีการจัดตั้งบริษัทโทรคมนาคมที่นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว  และทำให้บริษัทมีขีดความสามารถแข่งขันสูงขึ้น โดยการควบรวมครั้งนี้จะทำให้บริษัทใหม่สามารถลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและนำคลื่นความถี่ของผู้ถือหุ้นทั้งสองฝ่ายมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพให้มากที่สุด รวมทั้งจะมีการบริหารเงินลงทุนได้อย่างรวดเร็วขึ้น

ขณะเดียวกัน เมื่อมีการควบรวมกิจการแล้ว คาดว่าบริษัทใหม่จะมีส่วนแบ่งการตลาดสูงสุด 40% โดยเมื่อรวมกิจการเข้าด้วยกัน หากคิดจากปี 64 ที่เป็นงบเสมือนจะมีรายได้รวม 224,100 ล้านบาท กำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) 9.54 หมื่นล้านบาท และมี EBITDA Margin ที่ระดับ 40%

“ส่วนบริษัทใหม่จะมีธรรมาภิบาลระดับสากล จะมีกำกับดูแลโดยกรรมการชุดใหม่ โครงสร้างของบริษัทจะดึงเอาทั้งจุดแข็งของ TRUE และ DTAC บวกกับแรงสนับสนุนของผู้ถือหุ้นใหญ่ทั้งสองบริษัท” นายชารัด กล่าว

ทั้งนี้ TRUE มีเครือเจริญโภคภัณฑ์ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ส่วน DTAC มีกลุ่มเทเลนอร์ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่

ด้านนางสาวยุภา ลีวงศ์เจริญ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน TRUE กล่าวว่า หลังจากควบรวมกิจการและจัดตั้งบริษัทใหม่แล้ว กลุ่มบริษัทเครือเจริญโภคภัณฑ์จะถือหุ้น 28.98%, กลุ่มเทเลนอร์ 27.35%  China Mobile International  10.43% และผู้ถือหุ้นรายอื่น 33.24% ทั้งนี้ยังไม่รวมผลการทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์ด้วย

โดยหลังจากวันนี้ที่ผู้ถือหุ้นของทั้ง 2 บริษัทได้อนุมัติการควบรวมกิจการแล้ว ก็ไปสู่ขั้นตอนให้หน่วยงานกำกับดูแลพิจารณา รวมถึงเจ้าหนี้ที่จะยินยอมให้มีการควบรวมกิจการ ต่อจากนั้นประมาณปลายเดือน มิ.ย.-ส.ค. 2565 จะทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์โดยความสมัครใจ โดย TRUE ราคาเสนอซื้อที่หุ้นละ 5.09 บาท ส่วน DTAC หุ้นละ 47.76 บาท

ส่วนผู้ถือหุ้นที่ลงมติคัดค้านการควบรวมกิจการในวันนี้  บริษัทจะต้องรับซื้อในภายหลังจากการทำเทนเดอร์ฯ ครั้งแรก ในราคาปิดของ TRUE และ DTAC วันที่ 1 เม.ย.2565 ซึ่งเป็นวันซื้อขายครั้งสุดท้ายก่อนเริ่มกระบวนการควบรวมกิจการ โดย TRUE จะรับซื้อหุ้นละ 5.15 บาท ส่วน DTAC หุ้นละ 50.50 บาท

สำหรับกระบวนการควบรวมกิจการจะเสร็จสิ้นภายในเดือนก.ย. 2565 ซึ่งจะมีการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทใหม่ และนำหุ้นของบริษัทใหม่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ (SET) แทน TRUE และ DTAC ในปลายเดือน ก.ย.2565

ส่วนนายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานกรรมการ TRUE กล่าวว่า การควบรวมกิจการครั้งนี้สิ่งที่จับต้องได้ทันทีคือการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขัน สร้างมูลค่าเพิ่ม มีนวัตกรรมการให้บริการ Digital Transformation , Smart Living

“ผมเชื่อว่าการควบรวมเกิดศักยภาพที่แข็งแกร่ง จะโฟกัสเทคโนโลยีเพื่อตอบสนองให้เร็วขึ้น เพิ่มมูลค่าให้ผู้บริโภค ผู้ประกอบการ ทุกอุตสาหกรรม นี่เป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการควบรวมกิจการ” นายศุภชัย กล่าว

นอกจากนี้ ยังนำไปสู่การให้บริการที่ดีขึ้นไปอีก จำนวนลูกค้ามากขึ้นเป็นที่หนึ่งในประเทศโดยปริยาย อีกทั้งจำนวนคลื่นความถี่ที่มีมากขึ้นจะทำให้มีศักยภาพในการแข่งขันที่สูสีกับผู้ประกอบการรายอื่น หรืออาจจะมีมากกว่า และการควบรวมกิจการครั้งนี้จะทำให้มีความพร้อมเข้าสู่ยุค 6G ยุค Space Technology  ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงสื่อสารผ่านดาวเทียมวงโคจรต่ำ (Low Earth Orbit) ที่จะเป็นเทคโนโลยีใหม่ผสมผสานกับเสาโทรคมนาคมที่มีอยู่ทำให้เกิดการให้บริการที่ทั่วถึง

อย่างไรก็ตามการแข่งขันในระดับภูมิภาคก็คงไม่มุ่งสร้างโครงสร้างพื้นฐาน แต่จะมุ่งเน้นดิจิทัลเทคโนโลยี คลาวด์ IoT นอกจากนี้เรายังมุ่งเน้น AI ที่มาจากข้อมูลมหาศาล นำไปใช้ในประเทศต่างๆ ระดับภูมิภาค และอาจถึงระดับโลก ทั้งนี้จากการควบรวมกิจการครั้งนี้ผลประกอบการของบริษัทควรดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เพราะลดการลงทุนทับซ้อน ลดต้นุทน และเสริมสร้างประสิทธิภาพให้ดีขึ้น

Back to top button