หุ้น “ทวิตเตอร์” พุ่งแรง หลัง “อีลอน มัสก์” ซื้อหุ้น 9.2%

“อีลอน มัสก์” ซีอีโอเทสลาเข้าซื้อหุ้น “ทวิตเตอร์” สัดส่วน 9.2% เตรียมขึ้นแท่นผู้ถือหุ้นใหญ่ทวิตเตอร์ พร้อมประกาศพัฒนาแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของตัวเอง หลังเคยทำโพลถามหาเสรีภาพในการแสดงความเห็นบนทวิตเตอร์


บลูมเบิร์กรายงานว่า “อีลอน มัสก์” ซีอีโอเทสลาและเจ้าพ่อบริษัทด้านอวกาศสเปซเอ็กซ์ กำลังจะกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของสื่อสังคมออนไลน์ “ทวิตเตอร์” (Twitter Inc.) จากการที่ “อีลอน มัสก์” ได้ยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ (SEC) ถึงการเข้าซื้อ 73,486,938 หุ้นของทวิตเตอร์ หรือเป็นสัดส่วนการถือหุ้นแบบพาสซีฟที่ 9.2% คิดเป็นมูลค่าราว 2.89 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อิงตามราคาหุ้นของทวิตเตอร์ที่ปิดตลาดซื้อขายเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา

ก่อนหน้านี้ “อีลอน มัสก์” เป็นหนึ่งในผู้ใช้งานบัญชีทวิตเตอร์ที่มีผู้ติดตามมากถึง 80 ล้านราย ได้ทำการตั้งคำถามและเปิดโหวตบนแพลตฟอร์มทวิตเตอร์เมื่อ 25 มีนาคม ที่ผ่านมา โดยระบุว่า “เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเป็นพื้นฐานของหลักประชาธิปไตย คุณคิดว่าทวิตเตอร์ปฏิบัติตามหลักการนี้อย่างเคร่งครัดหรือไม่

ผลปรากฎว่ากว่า 70% ของผู้ติดตามมัสก์ที่เข้ามาโหวตลงคะแนน “ไม่เห็นด้วย” ที่ทวิตเตอร์ยึดถือและปฏิบัติตามหลักเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ซึ่งต่อมา “อีลอน มัสก์” ได้แสดงความคิดเห็นว่า เขากำลังครุ่นคิดถึงการพัฒนาแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของตนเองอย่างจริงจัง  และพบว่า หลายครั้งข้อความที่ “อีลอน มัสก์” ทวีตมักถูกทวิตเตอร์แบนจากข้ออ้างว่าขัดต่อหลักมาตรฐานทางจริยธรรมของแพลตฟอร์มในหลายครั้ง

โดยทันทีที่ปรากฎข่าวดังกล่าว ราคาหุ้นทวิตเตอร์ อิงค์ พุ่งขึ้นกว่า 23% ในการซื้อขายที่ตลาดหุ้นวอลล์สตรีท หลังจากที่ข้อมูลจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ (SEC) ระบุว่า อีลอน มัสก์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทเทสลา อิงค์ ได้ถือครองหุ้นในบริษัททวิตเตอร์จำนวน 73,486,938 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 9.2% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัท ทำให้เขาได้เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด

ทั้งนี้ “อีลอน มัสก์” ถือครองหุ้นในนามของกองทุน Elon Musk Revocable Trust ซึ่งมีเขาเป็นผู้ดูแลแต่เพียงผู้เดียว ส่วนบริษัทที่ปรึกษาการลงทุนแวนการ์ด กรุ๊ป คือผู้ถือหุ้นรายใหญ่เป็นอันดับสองของทวิตเตอร์ รองลงมาจาก“อีลอน มัสก์”

สำหรับมูลค่าหุ้นของทวิตเตอร์ในปัจจุบันในตลาดซื้อขายอยู่ที่ 47.19 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อหุ้น (ราว 1,581 บาท) ซึ่งเพิ่มขึ้นราว 20% โดยก่อนหน้านี้มูลค่าหุ้นของบริษัทได้ตกลงถึง 38% ในรอบ 12 เดือน

Back to top button