IAA เปิดมุมมอง “นักวิเคราะห์” แนะ 3 หุ้นเด่น Q2 วางเป้า SET สิ้นไตรมาส 1,688 จุด

IAA เปิดมุมมอง “นักวิเคราะห์” คัด 3 หุ้นเด่นไตรมาส 2/65 ประกอบด้วย BDMS-KBANK-MAKRO กำไรโตแกร่ง วางเป้า SET สิ้นไตรมาส 1,688 จุด จับตานโยบายดอกเบี้ยเฟด-ฟันด์โฟลว์


นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) เปิดเผยผลการสำรวจความเห็นสมาชิกนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนรวม 27 บริษัท เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนในไตรมาส 2-4 ของปี 2565 โดยสมมติฐานอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในปี 2565 ทุกสำนักมองเป็นบวก โดยค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.09% ลดลงจากการสำรวจครั้งก่อน (ม.ค.2565) ซึ่งเคยใช้สมมติฐานที่ 3.71% ซึ่งมีผู้ตอบที่ให้ตัวเลขต่ำสุดคือ 2%

โดยสถานการณ์การเมืองโลก โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนส่งผลกระทบประมาณการราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยทั้งปี 2565 สูงขึ้นจากคาดการณ์เดิมเมื่อ 3 เดือนก่อนที่ 69.90 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล มาเป็น 94.03 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล จึงต้องลดคาดการณ์ GDP ของไทยในปีนี้ลง

อย่างไรก็ตามทิศทางการลงทุนในปี 2565 ยังได้ผลบวกที่ชัดเจนมาจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ เงินลงทุนจากต่างประเทศ (Fund Flow) และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่มีกำไรเติบโต โดยมีผู้โหวตถึง 81% และ 74% ตามลำดับ

ส่วนปัจจัยด้านลบยังคงมาจาก แนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีผู้โหวตมากถึง 89% ส่วนอันดับ 2 ที่พุ่งแรงในครั้งนี้คือปัจจัยการเมืองในต่างประเทศ มีผู้โหวต 78% ตามติดมาด้วยภาวะเศรษฐกิจโลก และการเตรียมลดมาตรการ QE ทั่วโลก ซึ่งมีผู้โหวต 74% และ 67% ตามลำดับ

ด้านอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย ความเห็นส่วนใหญ่ 65% มองว่าจะคงที่ตลอดปีนี้ รองลงมาคือ มองว่าจะปรับขึ้น 0.25% ในปีนี้ โดยมีผู้โหวต 27% และสุดท้ายคือ ที่มองว่าจะปรับขึ้น 0.50% ในปีนี้มีผู้โหวต 7%

ส่วนทางด้านคาดการณ์ผลกำไรต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนปี 2565 เฉลี่ยที่ 89.11 บาท/หุ้น เติบโต 9.33% จากปี 64 อย่างไรก็ตาม ตัวเลขคาดการณ์ใหม่นี้ต่ำกว่าการสำรวจครั้งก่อน ซึ่งอยู่ที่ 89.59 บาท/หุ้นเล็กน้อย

ด้านคาดการณ์ SET Index ในช่วงไตรมาส 2/2565 มีผู้โหวต 44% คาดว่าจะเป็น Sideways และมีผู้โหวต 41% มองว่าIndex จะมีทิศทางลบ ส่วนที่เหลือ 15% มองเป็นทิศทางบวก ส่วนคาดการณ์ SET Index ณ สิ้นไตรมาสอยู่ที่ 1,688 จุด ส่วนมุมมองจากไตรมาสที่ 2 ไปถึงสิ้นปี คาดว่า SET Index จะแกว่งตัวในกรอบ 1,567-1,774 จุด และปิดสิ้นปี 2565 ที่ 1,747 จุด

โดยนักวิเคราะห์แนะนำให้กระจายพอร์ตการลงทุน แบ่งเป็น เงินสดและเงินฝากระยะสั้น 13.85% กองทุนตราสารหนี้ 13.15% หุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย 29.46% หุ้นหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ 27.29% กองทุนอสังหาฯหรือ REIT 8.66% ทองคำหรือกองทุนทองคำ 7.41% อื่นๆ 0.18%

สำหรับการลงทุนในหุ้นไทยนั้น แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักลงทุนในหมวดธุรกิจ ค้าปลีก ธนาคาร การท่องเที่ยว และสื่อสาร ขณะเดียวกันแนะนำให้ลดน้ำหนักการลงทุนในหมวดธุรกิจปิโตรเคมี พลังงานและสาธารณูปโภค รวมถึง ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีหุ้นเด่นแนะนำตรงกันมาก ประกอบด้วย

บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน) หรือ BDMS ด้วยมองว่าผลประกอบการฟื้นตัวดีต่อเนื่องในปี 2565 ซึ่งคาดว่าจะรับผลบวกจากการเปิดประเทศ คนไข้ต่างชาติจะกลับมา ซึ่งหลังผ่านพ้นวิกฤต COVID-19 ทั้งยังมองว่าธุรกิจของ BDMS อยู่ในช่วงของการเก็บเกี่ยวกำไรจากเงินลงทุน เนื่องจากผ่านการลงทุนขนาดใหญ่ไปแล้ว และ รพ.ใหม่ที่เปิดส่วนใหญ่ผ่านจุดคุ้มทุนแล้ว

ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK คาดกำไรสุทธิโต 6% เมื่อเทียบจากปีก่อน และ14% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน ในไตรมาส 1/2565 จากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่สูงขึ้นหนุนจากสินเชื่อที่โตขึ้นและอัตราค่าใช้จ่ายต่อรายได้ที่ปรับดีขึ้น แม้ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นอาจบั่นทอนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย แต่ทิศทางกำไรของธนาคารมีแนวโน้มที่ฟื้นตัวขึ้น

บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) หรือ MAKRO คาดหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 เริ่มคลี่คลาย กำลังซื้อเริ่มกลับมา ทั้งจากสถานการณ์ในประเทศไทยและในต่างประเทศ ประมาณการณ์กำไรปี 2565 และ 2566 เติบโต 82% เมื่อเทียบจากปีก่อน และ 44%เมื่อเทียบจากปีก่อน ตามลำดับ การรวมธุรกิจของ MAKRO และ Lotus’s เพิ่มศักยภาพในการขายสินค้าโดยเฉพาะสินค้าอาหารสด และรายได้จากค่าเช่าจากธุรกิจบริหารพื้นที่เช่าในศูนย์การค้าของ Lotus’s

นอกจากนั้นนักวิเคราะห์ฯ ยังได้เพิ่มเติมการแนะนำนโยบายที่จะมีผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจไปยังรัฐบาล ได้แก่ การเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ มีนโยบายช่วยเหลือประชาชน โดยดูแลค่าใช้จ่ายผู้มีรายได้น้อย รวมถึงมาตรการให้สิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษี เพื่อกระตุ้นภาคการบริโภค ส่วนด้านช่วยเหลือภาคธุรกิจนั้น ได้แก่ เร่งแผนเปิดประเทศ ดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ ช่วยเหลือภาคธุรกิจที่โดนผลกระทบจากราคาพลังงานสูงขึ้น

Back to top button