EP เล็งจับมือ 2 พันธมิตรลุย “วินด์ฟาร์ม” สปป.ลาว 600 MW มูลค่า 3 หมื่นลบ.

EP เจรจาพันธมิตร 2 ราย ลงทุนวินด์ฟาร์มในสปป.ลาว ขนาด 500-600 MW มูลค่าโครงการ 2.5-3 หมื่นลบ. ส่วนไตรมาส 2 เริ่มรับรู้รายได้วินด์ฟาร์มเวียดนาม 160 MW และเตรียมปิดดีลซื้อ "วินด์ฟาร์ม" เวียดนามอีก 2-3 โครงการ 200 MW พร้อมเร่งขยายติดตั้ง Solar Roof เป็น 30 MW ภายในสิ้นปีนี้ หนุนอนาคตโตก้าวกระโดด 


นายยุทธ ชินสุภัคกุล ประธานกรรมการ บริษัท อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EP เปิดเผยว่า บริษัทฯยังคงเดินหน้ารุกขยายการลงทุนในกลุ่มภูมิภาคอาเซียน โดยล่าสุดเตรียมเจรจากับพันธมิตร 2 ราย เพื่อร่วมลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ขนาด กำลังผลิต 500-600 เมกะวัตต์ ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนรวม 2.5-3 หมื่นล้านบาท โดยโครงการวินด์ฟาร์มใน สปป.ลาว ซึ่งเป็นโครงการที่สามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในระดับน่าสนใจ

จากสถานการณ์ปัจจุบัน ที่แนวโน้มของราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นไปสูงอย่างต่อเนื่อง ทำให้โอกาสในการหันมาใช้พลังงานทดแทนมีมากขึ้น ทาง EP จึงได้ใช้โอกาสนี้ ในการลงทุนในโครงการพลังงานทางเลือกในกลุ่มประเทศอาเซียนด้วย เช่น ใน สปป.ลาว ประมาณ 500-600 เมกะวัต์  มาเลเซียประมาณ 50-100 เมกะวัตต์ และอินโดนีเซีย อีกประมาณ 100-200 เมกะวัตต์ ซึ่งประเทศในอาเซียน ต่างก็มีนโยบายในการสนับสนุนการใช้พลังงานทางเลือก เพื่อตอบโจทย์การขจัดก๊าซเรือนกระจกออกจากชั้นบรรยากาศที่ประเทศต่างๆ ได้มีการกำหนดเป้าหมายร่วมกันเพื่อการปลดปล่อยสุทธิที่ศูนย์ (Net Zero) ในปี 2593 นายยุทธ กล่าว

สำหรับความคืบหน้าของการก่อสร้างโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม กำลังการผลิตรวม 160 เมกะวัตต์ ในประเทศเวียดนาม ได้เสร็จสมบูรณ์เกือบ ทุกโครงการแล้ว โดยโครงการในจังหวัด Gia Lai รวม 100 เมกะวัตต์ สามารถจ่ายไฟฟ้าได้ทันที เมื่อมีการเชื่อมกับโครงข่ายสายส่งไฟฟ้า ของการไฟฟ้าเวียดนาม (EVN) ซึ่งขณะนี้รอการอนุมัติการเชื่อมต่อจากทาง EVN อยู่ ส่วนโครงการในจังหวัด Huong Linh รวม 60 เมกะวัตต์ ก็มีความคืบหน้าไปมากกว่า 90% พร้อมที่จะทำการเชื่อมต่อเพื่อจ่ายไฟฟ้าได้ภายในเดือนมิถุนายน 2565 และคาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ในไตรมาส2/2565ได้ทันที

นอกจากนี้ ประเทศเวียดนาม ยังคงเป็นเป้าหมายหลักในการขยายการลงทุน เนื่องจากที่ผ่านมา เศรษฐกิจของเวียดนาม มีการขยายตัวสูงที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการลงทุนด้านอุตสาหกรรม ซึ่งทำให้มีความต้องการพลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ซึ่ง EP พร้อมด้วยพันธมิตร ก็จะเข้าไปลงทุนในโครงการที่ได้มีการเจรจามาอย่างต่อเนื่อง คือ โรงไฟฟ้าพลังงาน LNG ขนาด 1,500 เมกะวัตต์ ตามที่ปรากฏอยู่ในแผน PDP 8 ซึ่งคาดว่าจะประกาศใช้ภายในไตรมาส 3 ปีนี้ และยังมีการพิจารณาลงทุนในโครงการไฟฟ้าพลังงานลม ที่ได้จ่ายไฟแล้ว อีก 2-3 โครงการ ขนาดรวมประมาณ 200 เมกะวัตต์ อีกด้วย โดยจะเป็นการเข้าซื้อกิจการ

นอกจากนี้ขณะที่ในประเทศไทย มีนโยบายที่ชัดเจนในการสนับสนุนรถ EV ซึ่งจะมีผลโดยตรงต่อนโยบายพลังงานของประเทศโดยอาจจะมีการรับซื้อพลังงานมากขึ้น ดังนั้นในระหว่างนี้ บริษัทฯจึงมีแผนขยายการติดตั้ง Solar Roof (Private PPA) โดยคาดว่าจะเพิ่มจากการติดตั้งและบริหาร Private PPA เพิ่มจาก 16 เมกะวัตต์ในปัจจุบันเป็น 30 เมกะวัตต์ภายในสิ้นปี2565

Back to top button