“ยูโอบี” ไตรมาส 1 กำไร 906 ล้านเหรียญสิงคโปร์ รับแฟรนไชส์ลูกค้า-รายได้ดอกเบี้ยเพิ่ม

“ธนาคารยูโอบี” ประกาศไตรมาส 1/65 มีกำไร 906 ล้านเหรียญสิงคโปร์ รับแฟรนไชส์ลูกค้าของกลุ่มธนาคาร โดยมีรายได้จากดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น และคุณภาพของสินทรัพย์ยังคงมีความแข็งแกร่ง


กลุ่มธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ประกาศผลกำไรสุทธิไตรมาส 1/2565 ที่ 906 ล้านเหรียญสิงคโปร์ดอลลาร์ ลดลง 11% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ท่ามกลางภาวะตลาดที่ผันผวน

สำหรับแฟรนไชส์ลูกค้าของกลุ่มธนาคารยังคงแข็งแกร่ง โดยมีรายได้จากดอกเบี้ยรับสุทธิเพิ่มสูงขึ้นจากการเติบโตของสินเชื่อที่มีคุณภาพและวินัยในการกำหนดราคา

โดยรายได้ค่าธรรมเนียมรวมไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน แม้ค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อจะพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ โดยมีอัตราเติบโตที่ 14% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน แต่ค่าธรรมเนียมจากบัตรเครดิต การบริหารจัดการความมั่งคั่ง และการบริหารจัดการกองทุนกลับลดลง เนื่องจากความอ่อนไหวของตลาด รายได้จากการค้าและการลงทุนลดลงเกิน 10% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการป้องกันความเสี่ยงจากการที่อัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้รายได้รวมลดลงเล็กน้อย 3% อยู่ที่ 2.4 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ดอลลาร์

นอกจากนี้ ต้นทุนความเสี่ยงจากการให้สินเชื่อ ณ สิ้นไตรมาส 1/2565 กลับสู่ภาวะปกติที่ 19 จุด จากการเพิ่มขึ้นของการโอนกลับสำรองทั่วไป (general allowance write-back) ในไตรมาสก่อน คุณภาพของสินทรัพย์ของกลุ่มธนาคารและงบดุลยังคงมีความยืดหยุ่น สภาพคล่องอยู่ในระดับที่เหมาะสม และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่หนึ่งที่เป็นส่วนของเจ้าของ (CET1) อยู่ที่ 13.1%

อย่างไรก็ตาม ความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ และความไม่แน่นอนของแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจโลกส่งผลให้ตลาดเกิดความผันผวน แต่ถึงกระนั้น ธุรกิจหลักต่างๆ ของธนาคารยังคงยืนหยัดได้ดี พร้อมการเติบโตของสินเชื่อที่มีคุณภาพ ค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อที่สูงเป็นประวัติการณ์ และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวดีขึ้น

ทั้งนี้ ธนาคารยูโอบียังคงมุ่งสนับสนุนให้ภาคธุรกิจคว้าโอกาสหลังเปิดประเทศ ระเบียงการค้าและการลงทุนระหว่างอาเซียนและจีนเอื้อให้ธนาคารอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมต่อการให้บริการลูกค้า การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานโลกในปัจจุบันจะยิ่งเน้นให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของธนาคารยูโอบีในภูมิภาคนี้

โดยเสริมความแกร่งให้ธุรกิจด้วยการเข้าซื้อธุรกิจรายย่อยของซิตี้กรุ๊ปและริเริ่มแผนงานด้านดิจิทัล รวมทั้งผลจากความพยายามของธนาคารยูโอบีด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการให้การสนับสนุนลูกค้าเพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวก โดยตั้งเป้าประกาศแผนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในสิ้นปีนี้

รวมถึงยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อการฟื้นตัวและศักยภาพในระยะยาวของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีงบดุลที่แข็งแกร่ง ตลอดจนสถานะเงินทุน และสภาพคล่องที่ดีทำให้เราอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมในก้าวผ่านช่วงเวลาอันไม่แน่นอนนี้ไปพร้อมๆ กับลูกค้าและชุมชนของเรา

กลุ่มธนาคารประกาศผลกำไรสุทธิ 906 ล้านเหรียญสิงคโปร์ดอลลาร์ ลดลง 11% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์ส่งผลให้รายได้จากการค้าและการลงทุนที่ไม่เกี่ยวเนื่องกับลูกค้าปรับตัวลดลง ประกอบกับการลดลงของการโอนกลับเงินสำรองทั่วไป

สำหรับรายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิปรับตัวสูงขึ้น 1% ซึ่งเป็นผลการจากเติบโตของสินเชื่อ 3% และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิที่เพิ่มขึ้นเกินกว่า 10% อยู่ที่ 1.58% และรายได้ค่าธรรมเนียมรวมถึงบริการส่วนใหญ่คงที่ อยู่ที่ 5.72 ร้อยล้านเหรียญสิงคโปร์ดอลลาร์ จากความต้องการสินเชื่อและธุรกิจการให้คำปรึกษา ส่งผลให้ค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อดีดตัวขึ้น 14% ทำสถิติแตะจุดสูงสุดใหม่ที่ 1.94 ร้อยล้านเหรียญสิงคโปร์ดอลลาร์

อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายบัตรเครดิตที่ลดลงตามฤดูกาลและค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการความมั่งคั่งและกองทุนที่ลดลงตามสภาวะความอ่อนไหวของตลาดที่ซบเซาลงส่งผลให้รายได้รวมลดลง

อย่างไรก็ดี ถึงแม้รายได้จากการบริหารตลาดเงินที่เกี่ยวเนื่องกับลูกค้าปรับตัวเพิ่มขึ้น 18% เนื่องจากลูกค้าสนใจป้องกันความเสี่ยง แต่ผลกระทบจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของดอกเบี้ยจากการป้องกันความเสี่ยงและการปรับมูลค่าของเงินลงทุนตามราคาตลาดล่าสุดที่ยังไม่ได้รับรู้ (unrealised mark-to-market) ยังคงสูงกว่ารายได้ส่วนนี้ ดังนั้นรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยจึงปรับตัวลดลง 43% อยู่ที่ 1.01 ร้อยล้านเหรียญสิงคโปร์ดอลลาร์

ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานรวมลดลง 3% ในทิศทางเดียวกันกับรายได้ที่ลดลง ทำให้อัตราค่าใช้จ่ายต่อรายได้คงที่อยู่ที่ 44.8% มีเงินกันสำรองรวมเพิ่มขึ้น 59% ส่วนใหญ่เนื่องจากการเพิ่มสูงขึ้นของการโอนกลับเงินสำรองทั่วไปในไตรมาสก่อน ส่งผลให้ต้นทุนความเสี่ยงจากการให้สินเชื่อกลับสู่ภาวะปกติที่ 19 จุดในไตรมาส 1/2565

โดยรายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิเพิ่มขึ้น 10% เนื่องจากการเติบโตของสินเชื่อ 9% รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการปรับตัวลดลง 8% ส่วนใหญ่มาจากค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการความมั่งคั่งและการบริหารจัดการกองทุนที่ลดลงเนื่องจากแนวโน้มของตลาดในปีนี้ค่อนข้างเงียบ เช่นเดียวกับรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยที่ปรับตัวลดลงเนื่องจากผลกระทบของการป้องกันความเสี่ยง อันส่งผลให้รายได้จากการค้าและการลงทุนที่ไม่เกี่ยวเนื่องกับลูกค้าลดลง ถึงแม้ว่ารายได้จากการบริหารตลาดเงินที่เกี่ยวเนื่องกับลูกค้าจะคงที่ก็ตาม

ส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานรวมลดลง 3% ในทิศทางเดียวกันกับรายได้ที่ลดลง ค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองปรับตัวลดลง 11% จากเงินกันสำรองทั่วไปที่ลดลง โดยที่ต้นทุนความเสี่ยงจากการให้สินเชื่อรวมลดลง 10 จุด

ส่วนคุณภาพของสินทรัพย์ยังคงมีความยืดหยุ่น โดยมีอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) คงที่ 1.6% ในขณะที่ต้นทุนความเสี่ยงจากการให้สินเชื่อรวมเป็นไปตามการคาดการณ์ที่ 19 จุด

ขณะที่อัตราส่วนความเพียงพอของเงินกันสำรองยังคงอยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยอัตราส่วนการตั้งสำรองสำหรับสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPA) อยู่ที่ 94% หรือ 216% หากนับรวมหลักประกัน เงินสำรองส่วนเกินสำหรับสินเชื่อที่ยังไม่ด้อยคุณภาพยังคงอยู่ที่ 0.9%

อย่างไรก็ตาม สภาพคล่องและฐานะเงินทุนของกลุ่มธนาคารยูโอบียังมั่นคง โดยมีอัตราส่วนการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง (LCR) ในทุกสกุลเงินเฉลี่ยที่ 129% ในขณะที่อัตราส่วนการดำรงแหล่งที่มาของเงินให้สอดคล้องกับการใช้ไปของเงิน (NSFR) อยู่ที่ 113% ซึ่งยังคงสูงกว่าเกณฑ์กำหนดขั้นต่ำ อัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อเงินรับฝาก (LDR) ยังคงที่อยู่ที่ 87.3%

นอกจากนี้ อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่หนึ่งที่เป็นส่วนของเจ้าของ (CET1) ปรับลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ 13.1% ส่วนใหญ่จากการเติบโตของสินทรัพย์ กลุ่มธนาคารยูโอบียังคงมุ่งมั่นสนับสนุนให้ลูกค้าบรรลุความต้องการทางการเงินของตน

Back to top button