‘ธนัช’ ปิดฉาก YGG.!

#มันจบแล้วครับนาย..!! กรณี YGG กับ “ธนัช จุวิวัฒน์” ผู้ก่อตั้งและผลักดัน YGG จนเติบใหญ่กลายเป็นบริษัทมหาชน ปัจจุบันเป็นหุ้นไม่เต็มบาทไปแล้ว


#มันจบแล้วครับนาย..!! กรณีบริษัท อิ๊กดราซิล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ YGG กับ “ยิ้ม-ธนัช จุวิวัฒน์” ผู้ก่อตั้งและผลักดัน YGG จนเติบใหญ่กลายเป็นบริษัทมหาชน (เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ วันที่ 3 ม.ค. 2563 ด้วยไอพีโอ 5.00 บาท) โดยราคาหุ้น YGG เคยวิ่งสู้ฟัดขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่ 14.60 บาท เมื่อวันที่ 11 ก.พ. 2565 ส่วนปัจจุบันเป็นหุ้นไม่เต็มบาทไปแล้ว…

ล่าสุด “ธนัช” ได้ยื่นลาออกจากทุกตำแหน่งใน YGG ทั้งกรรมการและประธานกรรมการบริหาร (CEO) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว มีผลวันที่ 3 ก.ค. 2568 ที่ผ่านมา

โดยคนที่มารับไม้ต่อจาก “ธนัช” เป็น “ศิรกาญจน์  สุทธิเกียรติ” ซึ่งก่อนหน้านี้นั่งในตำแหน่ง CFO มาก่อน

ซึ่งตามธรรมเนียม บริษัทก็จะออกมานั่งยันนอนยันว่า การลาออกของ “ธนัช” ไม่ได้มีผลกับ YGG แต่อย่างใด และแม้ว่า “ธนัช” จะลาออกไปแล้ว แต่ไม่ได้หายหน้าหายตาไปไหน ยังคงให้ความร่วมมือและสนับสนุนทีมบริหารในบทบาทที่ปรึกษา โดยบริษัทยังคงเดินหน้าดำเนินธุรกิจตามแผนยุทธศาสตร์เดิมต่อไป

ส่วนจะเชื่อหรือไม่เชื่อ…ไปตีลังกาไตร่ตรองดูละกัน..!?

ส่วนที่มาที่ไปของจุดจบครั้งนี้ คงไม่ต้องสาธยายให้มากความ หลายคนน่าจะรู้ดีอยู่แล้วว่า เป็นผลพวงจากกลเกมหุ้น จากการใช้บัญชีมาร์จิ้น จนถูกพิษฟอร์ซเซลย้อนศรเข้าอย่างจัง…

โอเค…ระหว่าง YGG กับ “ธนัช” คงปิดฉากไปแล้ว ก็ให้มันจบไป…

แต่ที่ไม่จบคงเป็นโครงสร้างผู้ถือหุ้นละมั้ง…ซึ่งเป็นช็อตที่น่าติดตาม

เพราะถ้าไปส่องโครงสร้างผู้ถือหุ้น YGG อัพเดทเมื่อวันที่ 31 มี.ค. 2568 จะเห็นว่าเป็นเบี้ยหัวแตก ไม่มีใครถือหุ้นใหญ่เกิน 5% เลยนะ…ผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 อันดับแรกปรากฏชื่อ “แสงชัย วสุนธรา” เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 ถือหุ้นแค่ 3.54% เท่านั้น ส่วนอันดับสอง เป็น “บัญชา เกียรติสุขสถิตย์” ถือหุ้นสัดส่วน 3.41% และอันดับสาม เป็น “เด่นดนัย หุตะจูฑะ” ถือหุ้นสัดส่วน 3.37%

ในขณะที่ “แซ็ค-ศรุต ทับลอย” เพื่อนรักที่ร่วมก่อตั้ง YGG มากับ “ยิ้ม-ธนัช” นั้น เป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 4 เหลือถือหุ้นแค่ 2.72% เท่านั้น

ยิ่งตอกย้ำว่าเจ้าของเดิมไม่เอาแล้ว..!!

เมื่อโครงสร้างผู้ถือหุ้นเป็นเบี้ยหัวแตกอย่างนี้ สิ่งที่ตามมา…ในมุมหุ้นไม่มีเจ้า (ภาพ) ทำให้คนที่จะเข้ามาเก็งกำไรก็จะลดน้อยลง หุ้นก็จะไม่มีสีสันค่อย ๆ ตายซากไป ส่วนในมุมธุรกิจจะขยับขยายไปทำอะไรก็มีความเสี่ยง จะใช้มติผู้ถือหุ้นใหญ่โหวตก็ไม่ง่าย เพราะแต่ละคนถือหุ้นไม่ถึง 5% เสียด้วยซ้ำ แล้วจะเอาแรงบันดาลใจที่ไหนไปขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโต…จริงมั้ย..??

ลองคิดดูว่า การจะพลิกฟื้นบริษัทที่ในปี 2567 มีตัวเลขขาดทุนบักโกรกกว่า 547 ล้านบาท ให้พลิกมามีกำไรคงไม่ง่าย…ไหนจะตัวเลขขาดทุนสะสมยังไม่ได้จัดสรรก้อนใหญ่กว่า 473.79 ล้านบาทอีก จะสะสางยังไง..?? 

ยังนึกไม่ออกจริง ๆ พับผ่าสิ…ในเมื่อตอนนี้ไม่มีใครเป็นเจ้าภาพที่แท้จริง ไม่มีผู้ถือหุ้นใหญ่ที่ถือหุ้นเกิน 5% เลย…

แล้วต้องไม่ลืมว่า ธุรกิจเกมและแอนิเมชั่น เป็นธุรกิจเฉพาะทาง ต้องใช้ไอเดียและโนว์ฮาว…ไม่ใช่ตาสีตาสาที่ไหนก็จะทำได้นะ…

ทำให้ YGG จากหุ้นเทคที่เป็น “ดาวรุ่ง” อนาคตไกล กลายเป็น “ดาวดับ” อนาคตมืดมนทันที..!!

แต่ก็ไม่แน่นะ…อาจจะมีกลุ่มทุนใหม่เข้ามาก็ได้…

จะเข้ามาพลิกฟื้นธุรกิจเดิมหรือเอาธุรกิจใหม่มาสวม ก็อีกเรื่องหนึ่ง…

ส่วนการ Exit ของ “ธนัช” จะด้วยภาวะ “จำยอม” หรือ “จำใจ”…ไม่รู้ ๆ 

แต่ผู้ถือหุ้นที่อยู่ต่อไปคงต้อง “จำใจ” อ่ะนะ…

ขณะที่บทสรุปของ  “ธนัช” กับ YGG สอนให้รู้ว่า เจ้าของหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ ไม่ควรไปยุ่งเกี่ยวกับบัญชีมาร์จิ้น…เห็นมานักต่อนักแล้วว่าศพไม่สวยสักราย

…อิ อิ อิ…

Back to top button