D ตีปีกรับ “เปิดเมือง” หนุนรายได้ทำฟันต่างชาติฟื้น ดันทั้งปีนี้โต 25% ตามเป้า

D ตีปีกรับเปิดเมืองหนุนรายได้ทำฟันจากผู้ใช้บริการที่เป็นชาวต่างชาติฟื้น ลุ้น BIDH ดันผลประกอบการโตหลังจากผ่านจุดคุ้มทุน ฟาก EBITDA ปิดบวก 3 ไตรมาสติด ตั้งเป้ารายได้ปีนี้โต 20-25%


ทันตแพทย์พรศักดิ์ ตันตาปกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดนทัล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ D เปิดเผยกับ ข่าวหุ้นธุรกิจ ผ่านรายการ ข่าวหุ้น ออกอากาศทางช่อง MCOT HD30  ในวันที่ 27 ..2565 โดยมีประเด็นสำคัญดังต่อไปนี้

ปัจจัยที่ทำให้กลับมาพลิกกำไรในไตรมาส 1/2565 และทิศทางการเปิดเมือง

โดยปกติบริษัทฯ มีรายได้มาจากการให้บริการในส่วนของการทำฟันกว่า 60% ซึ่งมีลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ อาทิ ชาวออสเตรเลีย  ยุโรป รวมไปถึงอเมริกา ดังนั้นช่วงที่ผ่านมาจากสถานการณ์โควิด-19 แพร่ระบาดก็ทำให้บริษัทได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในตลอด 2 ปีที่ผ่านมา วิธีของบริษัทฯจึงแก้ไขปัญหาด้วยการดันรายได้ในส่วนของลูกค้าภายในประเทศจากเดิม 40% ให้เติบโตขึ้นถึง 65%-70% แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะทดแทนในส่วนของลูกค้าจากชาวต่างชาติได้ ซึ่งบริษัทตั้งเป้าที่จะรับมือตลอดตั้งแต่การปิดเมืองที่ผ่านมาจนถึงไตรมาส 4/2564 ที่ประสบความสำเร็จกลับมามีกำไรซึ่งเป็นผลจากการบริหารจัดการภายใน โดยการบริหารต้นทุน จัดการโครงสร้างธุรกิจให้มีประสิทธิภาพ จนถึง ไตรมาส 1/2565 ที่ผ่านมา ก็กลับมาทำให้บริษัทพลิกมีกำไรจากที่ขาดทุนในปีที่แล้ว นอกจากนี้ทางรัฐบาลเริ่มอนุญาตให้กลับมาทำกิจกรรมได้หลากหลาย และบริษัทสามารถทำรายได้สูงถึง 70% ซึ่งเป็นตัวเลขก่อนเกิดการแพร่ระบาดได้ในที่สุด

ทั้งนี้ การเปิดเมืองมันจะเป็นปัจจัยที่ส่งผลดีต่อบริษัทฯ อย่างแน่นอน นับตั้งแต่ต้นไตรมาส 2 ที่เริ่มมีการให้ชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศได้ปกติ จนถึงการยกเลิกเอทีเค ก็มียอดการจองเพิ่มขึ้น จนดันให้รายได้ในส่วนของลูกค้าชาวต่างชาติเริ่มกลับมาฟื้นตัวถึงปัจจุบันไปจนถึงไตรมาส 3 ก็เชื่อว่ามีสัญญาณที่ดีต่อเนื่องนอกจากนี้คนไข้ในส่วนของ 1st Stage เช่นการรักษารากฟันเทียม (ซึ่งลูกค้าบางท่านรอมา 2 ปี) ก็กลับมาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปีนี้ถ้าเปรียบเดือนต่อเดือนในไตรมาส 2 ก็นับว่ามีสัญญาณไปในทิศทางบวก และอาจได้เห็นตัวเลขรายได้ทั้งปีที่เติบโตกว่า 20%-25% ซึ่งมองไปที่สาขาที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวของต่างชาติที่จังหวัดภูเก็ตกับจังหวัดเชียงใหม่ก็ทำกำไรมาตลอด

นอกจากนี้ลูกค้าต่างชาติที่เดินทางมาใช้บริการของ D กว่า 80% มี Priority คือมาทำฟันก่อน แล้วเรื่องการท่องเที่ยวเป็นเรื่องรองลงมา ซึ่งตัวเลขต่อหัวจะอยู่ที่ 200,000 – 300,000 บาท ซึ่งส่วนมากจะเป็นการทำรากฟันเทียมโดยปีนี้ตั้งเป้าว่าจะมีรายได้เติบโต 25% โดยจะมีงบการลงทุนจำนวน 700 ล้านบาท และมีอัตราการทำกำไรที่ 5-8% ซึ่งที่ผ่านมา Net Profit Margin ที่ทำได้เป็นผลมาจากรายได้ในส่วนของลูกค้าภายในประเทศ ซึ่งในไตรมาส 2/2565 รายได้ต่อหัว และกำไรขั้นต้นจะมีการเติบโตอย่างแน่นนอนโดยรับอานิสงส์การเปิดประเทศ โดยเป้าหมายที่ตั้งเป้าไว้สูงสุดคือการกลับไปอยู่ในสถานะก่อนเกิดโควิด แต่ทั้งนี้สิ่งที่น่ากังวลก็คือการแพร่ระบาดโควิดซึ่งจะทำให้ภาพรวมของธุรกิจจะคงไม่เปลี่ยนแปลงไปและจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมในไตรมาส 1/2565 รวมไปถึงการแข็งค่าของเงินบาท เนื่องจากบาทอ่อนค่าเป็นปัจจัยหนุนชาวต่างขาติ

ทำไมชาวต่างชาติถึงต้องมาทำฟันที่ D

สำหรับ D ให้บริการศูนย์ทันตะกรรมขนาดใหญ่ หรือก็คือ Bangkok International Dental Center (BIDC) ซึ่งได้การรับรองระดับสากลจากองค์กร Joint Commission International  (JCI) เป็นแห่งแรกของประเทศไทยตั้งแต่ปี 2555 ด้วยความเชื่อมั่นและมาตรฐานที่มีต่อการบริการ ซึ่งจากการค้นคว้าในกลุ่มลูกค้าออสเตรเลีย จะพบว่าลูกค้ามีความพึงพอใจในเรื่องของราคา และเรื่องของคุณภาพ ซึ่งในเรื่องของราคาการบริการ ประเทศไทยมีราคาที่ถูกกว่าเมื่อเทียบกับประเทศออสเตรเลียถึง 40% ในขณะที่คุณภาพก็เทียบเท่าเพราะว่าบุคลากรของ D ส่วนใหญ่เรียนจบเฉพาะทางในด้านนี้ ไม่ว่าจะเป็นจากประเทศอเมริกา , ประเทศอังกฤษ และประเทศออสเตรเลีย ซึ่งลูกค้าส่วนมากสามารถตรวจสอบได้ว่าทันตแพทย์ที่ให้บริการนั้น มีการศึกษาและคุณภาพเป็นอย่างไรเพื่อให้ลูกค้ามีความสบายใจที่สุด

นอกจากนี้ด้วยคุณภาพของห้องแล็บ หรือ อุปกรณ์ในการบริการ (เช่นการรักษารากฟันเทียม) ล้วนเป็นอุปกรณ์ที่ได้รับการรับรองคุณภาพมาจากฝั่งยุโรปทั้งสิ้น

ทิศทางของธุรกิจ BIDH Dental Hospital หรือ โรงพยาบาลฟัน

โรงพยาบาลฟันเปิดให้บริการได้เพียง 5 เดือนเท่านั้น ก็เผชิญกับสถานการณ์ของโควิด ซึ่งนับได้ว่าเป็นการลงทุนที่สูงมาก ซึ่งจากเดิม D คาดว่าผลประกอบการของโรงพยาบาลฟันจะมีตัวเลขที่ติดลบ ในรอบ 1 ปีของการบริการ แต่พอมาถึงสถานการณ์โควิดกลายเป็นว่าธุรกิจส่วนนี้ดึงผลประกอบการของ D ให้ติดลบตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งในตอนนี้บริษัทพยายามที่จะผลักดันให้กลับมามีผลประกอบการที่ดี โดยไตรมาส1/2565 ที่ผ่านมา EBITDA ของโรงพยาบาลฟันสามารถปิดบวกได้ 3 ไตรมาสติดต่อกัน ขณะที่อัตราส่วนกำไรสุทธิมีผลตัวเลขที่เป็นบวกในช่วงเดือนที่ 4 ที่ผ่านมา ซึ่งผลประกอบการในไตรมาส 2/2565 จะมีทิศทางเป็นบวกอย่างแน่นอน และที่สำคัญธุรกิจของโรงพยาบาลฟันได้ผ่านจุดคุ้มทุนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

Back to top button