RATCH โชว์แผนสร้างการเติบโต เปิดจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน 6-10 มิ.ย.นี้ เตรียมเงินขยายธุรกิจ

RATCH โชว์แผนยุทธศาสตร์สร้างการเติบโต เปิดจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน 6-10 มิ.ย.นี้ เตรียมเงินทุนขยายธุรกิจ


ท่ามกลางความผันผวนของราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่สะท้อนมายังต้นทุนการผลิตไฟฟ้านั้น พบว่าผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 1/2565 ของบริษัทจำกัด (มหาชน) หรือ RATCH ยังคงเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง โดยมีรายได้รวม 18,249.67 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 109.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 8,701.32 ล้านบาท

วันนี้ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ นางสาวชูศรี เกียรติขจรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ RATCH ถึงแนวทางการดำเนินงานในช่วงที่เหลือของปี 2565 และแผนการเติบโตในอนาคตภายใต้วิกฤติพลังงานที่ทั่วโลกต่างต้องเผชิญ ซึ่งเชื่อว่า RATCH จะมีผลงานที่ยังคงน่าประทับใจ ทั้งในด้านผลประกอบการ และกำลังการผลิต (เมกะวัตต์) จากโครงการใหม่ที่จะทยอยเข้ามาเพิ่มในพอร์ตได้อย่างต่อเนื่อง

*ปักธงผลการดำเนินงานปีนี้โต

แผนการดำเนินงานในปี 2565 ว่า บริษัทยังคงเดินหน้าลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้า ซึ่งเป็นธุรกิจหลักอย่างต่อเนื่องทั้งในและต่างประเทศ โดยการลงทุนในประเทศไทย นอกจากโครงการพลังงานทดแทนแล้ว บริษัทมุ่งเป้าหมายที่โครงการโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) ประเภทโคเจนเนอเรชั่น ซึ่งนอกจากสร้างรายได้และมูลค่ากิจการเพิ่มขึ้นแล้ว ยังเป็นการเตรียมพร้อมรองรับโอกาสการเติบโตในอนาคต

ขณะที่ผลการดำเนินงานปี 2565 คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 44,293.29 ล้านบาท จากการรับรู้รายได้จาก 6 โครงการที่ลงทุน และเริ่มเปิดดำเนินงานเชิงพาณิชย์ (COD) รวมกำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นจำนวน 1,315.46 เมกะวัตต์

*เพิ่มกำลังผลิตอีก 700 เมกะวัตต์

ตามแผนการลงทุนในปี 2565 บริษัทตั้งเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตเพิ่มอีก 700 เมกะวัตต์ (MW) โดยเป็นโครงการโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงหลัก ไม่น้อยกว่า 450 เมกะวัตต์ และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน ไม่น้อยกว่า 250 เมกะวัตต์ ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตตามสัดส่วนการลงทุนในปี 2565 เพิ่มขึ้นถึงกว่า 9,800 เมกะวัตต์

ทั้งนี้ในปี 2565 บริษัทจะมีโรงไฟฟ้าจำนวน 6 แห่ง กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นรวม 1,315.46 เมกะวัตต์ เข้ามาเสริมรายได้ของบริษัทให้แข็งแกร่ง โดย 2 แห่งได้เดินเครื่องเชิงพาณิชย์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว คือ โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมเรียว ในอินโดนีเซีย กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น 145.15 เมกะวัตต์ เดินเครื่องผลิตไฟฟ้าอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สร้างรายได้ให้บริษัทแล้ว จำนวน 86.45 ล้านบาท และโรงไฟฟ้าเน็กส์ซิฟ ราช เอ็นเนอร์จี ระยอง กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น 45.08 เมกะวัตต์ เดินเครื่องเชิงพาณิชย์อย่างเป็นทางการเมื่อเดือนเมษายน 2565

นอกจากนี้ บริษัทคาดหวังว่าการลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังความร้อนไพตัน ในอินโดนีเซีย หากดำเนินการแล้วเสร็จในช่วงกลางปีนี้ จะช่วยให้รายได้ของบริษัทแข็งแกร่งยิ่งขึ้น

*เปิดยุทธศาสตร์การลงทุน

แผนยุทธศาสตร์การลงทุนในโครงการพลังงานทดแทน และการไปสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ว่า  บริษัทมีเป้าหมายที่จะดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยหนึ่งในนั้น คือ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งได้วาง 6 แนวทางในการดำเนินงาน เพื่อไปสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality ซึ่งถือเป็นการสอดรับกับแนวทาง ESG โดยเริ่มตั้งแต่การกำหนดเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนต่อเนื่องทุกปี การกระจายการลงทุนในธุรกิจคาร์บอนต่ำ การเพิ่มประสิทธิภาพโรงไฟฟ้าเพื่อลดการใช้เชื้อเพลิงและพลังงาน การปลูกป่าเพื่อสร้างแหล่งดูดกลับก๊าซเรือนกระจก รวมทั้งกำหนดสัดส่วนประเภทเชื้อเพลิงสำหรับการลงทุน และจำกัดเพดานการลงทุนเชื้อเพลิงถ่านหิน

ในส่วนของการกำหนดสัดส่วนประเภทเชื้อเพลิงสำหรับการลงทุน บริษัทมีแผนการดำเนินงานที่ชัดเจนโดยเฉพาะที่เกี่ยวเนื่องกับ ESG ซึ่ง RATCH มองว่าการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืนเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินธุรกิจ โดยตั้งเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตจากพลังงานทดแทนเป็น 2,500 เมกะวัตต์ในปี 2568 และ 4,000 เมกะวัตต์ในปี 2578 หรือคิดเป็น 25% และ 40% ของกำลังการผลิตทั้งหมดตามลำดับ ซึ่งคาดว่าจะสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 6.3 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และ 10 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าตามลำดับ

ขณะที่แผนการปลูกและอนุรักษ์ป่าไม้ ที่จะดำเนินการตั้งแต่ปี 2565-2568 มีพื้นที่รวมประมาณ 50,100 ไร่ โดยตั้งเป้าหมายการกักเก็บก๊าซเรือนกระจกประมาณ 670,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ตลอดระยะเวลาการขอรับรองคาร์บอนเครดิตเบื้องต้น 10 ปี (2565-2577)  และมีเป้าหมายที่จะเป็นธุรกิจที่มี Carbon Neutrality ภายใน 2593 ทำให้เชื่อได้ว่า RATCH เป็นบริษัทที่มีความมั่นคงมาอย่างยาวนาน และจะยังคงเป็นบริษัทที่มั่นคงยั่งยืนต่อไปในอนาคต

*ปีนี้ทุ่มงบลงทุน 3 หมื่นล้าน

ในปี 2565 บริษัทได้ตั้งงบลงทุนไว้ที่ประมาณ 3 หมื่นล้านบาท โดยจะใช้เงินลงทุนเพื่อขยายธุรกิจผลิตไฟฟ้าประมาณ 2.8 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 93% ของงบลงทุน แบ่งเป็น งบลงทุนโครงการใหม่ 2.65 หมื่นล้านบาท และโครงการเดิม 1,500 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก 7% หรือประมาณ 2,000 ล้านบาท จะใช้ลงทุนในธุรกิจอื่นๆ นอกเหนือไปจากธุรกิจผลิตไฟฟ้า ประกอบด้วยโครงการใหม่ 1,400 ล้านบาท และโครงการเดิม 600 ล้านบาท

ส่วนแผนธุรกิจ 5 ปี (ปี 2565- 2569) บริษัทตั้งเป้ามีกำลังการผลิตในปี 2568 แตะ 10,000 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นกำลังการผลิตจากโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงหลัก 75% และกำลังการผลิตจากโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน 25% และมีมูลค่ากิจการรวมทั้งสิ้นเกินกว่า 2 แสนล้านบาท

*ต้นทุนเชื้อเพลิงที่เพิ่มสูงขึ้น ไม่กระทบผลการดำเนินงาน

จากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย–ยูเครน ที่ส่งผลต่อราคาพลังงานในตลาดโลก ทำให้ราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติผันผวน สะท้อนต่อต้นทุนการผลิตไฟฟ้าและไอน้ำทั้งระบบ ส่งผลให้ราคาเชื้อเพลิงที่ปรับตัวสูงขึ้นในระดับสูง อย่างไรก็ตามปัญหาดังกล่าวไม่ได้มีผลกระทบต่อ RATCH อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากสามารถส่งผ่านราคาต้นทุนเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้น ไปสู่ผู้รับซื้อไฟฟ้ารายใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ ภายใต้การทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้า จึงไม่ได้กระทบต่อผลการดำเนินงานในปัจจุบัน

*เปิดจองหุ้นเพิ่มทุน 6-10 มิ.ย. นี้

สำหรับความคืบหน้าแผนเพิ่มทุน ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเตรียมเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในราคาเสนอขายสุดท้าย (Final Offering Price) ที่ 34.48 บาทต่อหุ้น เพื่อออกและเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัท ตามสัดส่วนการถือหุ้น โดยไม่จัดสรรให้ผู้ถือหุ้นที่จะทำให้บริษัทมีหน้าที่ตามกฎหมายต่างประเทศ (PPO) ในอัตราส่วนการเสนอขาย 2 หุ้นสามัญเดิม ต่อ 1 หุ้นสามัญที่ออกใหม่

โดยบริษัทได้กำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน (XR DATE) วันที่ 6 พฤษภาคม 2565 และกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับการเสนอขายหุ้นสามัญที่ออกใหม่ในการเสนอขายหุ้น PPO (RECORD DATE) ในวันที่ 9 พฤษภาคม 2565 ที่ผ่านมา นักลงทุนสามารถติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย WWW.SET.OR.TH โดยกำหนดระยะเวลาจองซื้อและชำระเงินในวันที่ 6-10 มิถุนายน 2565 ผ่านบริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ในฐานะตัวแทนการรับจองซื้อหุ้น โดยผู้จองซื้อสามารถจองซื้อผ่านระบบ online ผ่าน www.bualuang.co.th หรือยื่นเอกสารการจองซื้อที่สำนักงานใหญ่ของบริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) (งดรับเอกสารผ่านทางไปรษณีย์หรือสาขาของธนาคารพาณิชย์ทั่วประเทศ) สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 02-231-3777 หรือ 02-618-1000 ต่อ 1122, 1133, 1141, 1142, 1143, 1146, หรือ 1147 หรือ www.bualuang.co.th

Back to top button