CPL แย้มครึ่งปีหลังโตเด่น อานิสงส์บาทอ่อน-รายได้ส่งออกพุ่ง

CPL ส่งซิกครึ่งปีหลังโตต่อเนื่อง รับอานิสงส์เงินบาทอ่อนค่า พร้อมรายได้ส่งออกเพิ่มขึ้น เตรียมขยายไลน์ผลิตหนังสำหรับรองเท้าแบรนด์ดัง


นายภูวสิษฏ์ วงษ์เจริญสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพีแอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CPL เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้  CPL จะได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการอ่อนค่าของเงินบาท ซึ่งล่าสุดอ่อนค่าลงไปแตะระดับ 35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ และมีการประเมินจากสำนักวิจัยต่างๆ ว่าค่าเงินบาทอาจจะแตะระดับ 36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2565 ซึ่งเป็นผลจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่เร็วและแรงกว่าที่คาดเพื่อยุติปัญหาเงินเฟ้อ แม้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเร็วขึ้น แต่ส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยสหรัฐฯกับไทย ก็ยังคงมากพอที่จะทำให้เงินทุนไหลออกและค่าเงินบาทอ่อนค่าเมื่อเทียบกับสกุลดอลลาร์ ซึ่งจะส่งผลดีกับ CPL ในฐานะผู้ส่งออก

“อัตราแลกเปลี่ยนเป็นปัจจัยหนุนที่มาถูกช่วงถูกเวลา เพราะมาในช่วงที่ได้รับคำสั่งซื้อจากลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในสายธุรกิจผลิตหนังสำเร็จรูป ซึ่งออเดอร์ที่มีเข้ามาจนทำให้กำลังการผลิตในขณะนี้ใกล้เต็ม 100% มาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก หลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจคึกคักขึ้น ผู้คนเดินทางมากขึ้น และทำให้ความต้องการหนังสำหรับผลิตรองเท้าเพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยลูกค้าหลักของ CPL ไม่ว่าจะเป็นอาดิดาส, ทิมเบอร์แลนด์ รวมถึงพูม่า มีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แต่ที่เติบโตมากประมาณ 3-4 เท่าตัวคือ แบรนด์ ดร.มาร์ติน ซึ่งขณะนี้กำลังเตรียมขยายไลน์ผลิตหนังเพื่อส่งให้กับแบรนด์ ดร.มาร์ติน โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ในอีก 2 เดือนข้างหน้า” นายภูวสิษฏ์กล่าว

ขณะเดียวกัน ในครึ่งหลังของปี 2565 CPL ยังจะได้รับปัจจัยหนุนจากราคาหนังดิบที่เริ่มเห็นสัญญาณการปรับตัวลดลง หลังจากที่ครึ่งปีแรก ราคาหนังดิบปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 20% ตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เช่นเดียวกับต้นทุนเคมี ที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 25% ตามราคาน้ำมันที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม CPL ได้รับมือกับการปรับเพิ่มขึ้นของราคาเคมี ซึ่งเป็นต้นทุนที่มีสัดส่วน 15-18% ของต้นทุนรวม ด้วยการปรับกระบวนการผลิตในโรงงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ให้เกิดการใช้เคมีซ้ำ และลดการสูญเสียของการใช้เคมี รวมถึงสั่งเครื่องจักรใหม่ที่เน้นการใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2/2565 บริษัทจะต้องรับรู้ผลจากการขายหนังกึ่งสำเร็จรูป (Wet Blue) ซึ่งเป็นการขายในราคาที่ต่ำกว่าทุน เพื่อลดปริมาณสินค้าคงเหลือให้ต่ำลง ซึ่งจะทำให้บริษัทสามารถบริหารสภาพคล่องได้ดียิ่งขึ้น รวมไปถึงการบริหารจัดการต้นทุนต่างๆ อีกทั้งเพื่อเตรียมรับมือหากเกิดสภาวะเศรษฐกิจถดถอยในอนาคตด้วย

สำหรับสายธุรกิจอุปกรณ์ป้องกันภัยส่วนบุคคล (เซฟตี้ โปรดักส์) ภายใต้แบรนด์ “แพงโกลิน” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสายธุรกิจของ CPL นั้น มีแนวโน้มดีขึ้นหลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ทำให้โรงงานอุตสาหกรรม รวมถึงไซต์งานก่อสร้างต่างๆ ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของ “แพงโกลิน” กลับมาดำเนินการผลิตและดำเนินการก่อสร้างอย่างเต็มรูปแบบมากขึ้น ส่งผลให้ความต้องการใช้อุปกรณ์เซฟตี้ปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่ง “แพงโกลิน” มีจุดแข็งเรื่องคุณภาพของสินค้า ความเชี่ยวชาญของทีมงานที่จะคอยให้คำแนะนำเรื่องการใช้งาน รวมถึงบริการหลังการขาย ทำให้เป็นที่ยอมรับในอุตสาหกรรม

โดยสินค้าในกลุ่มรองเท้านิรภัยเริ่มมีสัญญาณยอดขายดีขึ้น ขณะที่สินค้ากลุ่ม PPE สำหรับป้องกันโควิด-19 มีแนวโน้มลดลง ดังนั้น บริษัทจึงปรับแผนและปรับกลยุทธ์การขายให้สอดรับกับสถานการณ์ ด้วยการเดินหน้าเข้าสู่ทำตลาดรองเท้านิรภัยและอุปกรณ์ป้องกันภัยในโรงงาน รวมถึงไซต์งานต่างๆ ให้กลับมาเป็นสินค้ากลุ่มขายดี ที่จะสร้างการเติบโตให้กับ CPL ต่อไป

Back to top button