DPAINT เดินหน้าคุมต้นทุน-ปรับราคาขาย ดันรายได้ปีนี้โต 30%

DPAINT เดินหน้าตลาดกลุ่มผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง เน้นปรับราคาสินค้า-ลดต้นทุนวัตถุดิบตั้งแต่ไตรมาส 2/65 ดันรายได้ปี 65 โต 25-30%


นายรณฤทธิ์ ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สีเดลต้า จำกัด (มหาชน) หรือ DPAINT เปิดเผยว่า ทิศทางธุรกิจปี 2565 บริษัทจะเดินหน้าตลาดกลุ่มผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง ด้วยสินค้าที่พัฒนาโดยใช้นวัตนกรรมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นเซกเมนต์ที่ใหญ่ที่สุดของตลาดสีทาอาคาร

โดยล่าสุดบริษัทเปิดตัว 2 กลุ่มผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่ที่จับกลุ่มเซกเมนต์พรีเมียม เจาะกลุ่มตลาดผู้รับเหมา และช่างสี เพื่อรองรับการใช้งานที่สะดวกและประหยัดเวลามากยิ่งขึ้น นั่นคือ 1.DELTA GRYPTO 5 IN 1 เป็นสีน้ำมันเคลือบผสมรองพื้นกันสนิม สำหรับทาพื้นผิวเหล็ก

2.DELTA PRECAST SOLUTIONS ซึ่งเป็นกลุ่มเคมีภัณฑ์ที่ใช้สำหรับงานก่อสร้าง อาทิ 2.1 DELTA ROOFSEAL UV BLOCK เป็นผลิตภัณฑ์ทาทับกันซึม ทนต่อแสงแดด รังสียูวี 2.2 DELTA HYBRID/PU SEALANT ยาแนวรอยต่อปิดรอยแตกร้าวของผนัง 2.3 DELTA NON-SHRINK GROUT ปูนสำเร็จรูปชนิดไม่หดตัว ทนต่อแรงสั่นสะเทือน 2.4 DELTA SKIMCOAT ปูนฉาบชนิดเนื้อบางปิดรอยแตกร้าวของผนัง 2.5 DELTA CEMENT WATERPROOF FLEX ปูนซีเมนต์ชนิดใช้ทากันซึม 2.6 DELTA SELF-LEVELING ปูนชนิดปรับระดับด้วยตนเอง ช่วยปรับระดับพื้นให้เรียบเนียน 2.7 DELTA WALL PUTTY ปูนฉาบผนังชนิดแห้งไว ยึดเกาะได้ดี ปลอดภัยไร้สารอันตราย

“บริษัทยังมุ่งเน้นในการเติบโตด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์นวัตกรรม รวมถึงการแสวงหาพันธมิตรใหม่ๆ เพื่อสร้างแบรนด์ต่อยอดธุรกิจ และขยายช่องทางการจัดจำหน่ายให้มากยิ่งขึ้น ซึ่ง DPAINT ได้เปิดดำเนินการโรงงานแห่งที่ 2 ในนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง โดยมีกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นประมาณ 50% เป็นกำลังการผลิตรวม 4.8 ล้านแกลลอนต่อปี โดยโรงงานใหม่ใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบ Slurry แทนระบบ Co-Grind เพิ่มประสิทธิภาพ ช่วยลดขั้นตอนและลดการสูญเสียจากสารเคมีที่เป็นวัตถุดิบในการผลิต ทำให้สามารถลดค่าใช้จ่ายและต้นทุนในการผลิตได้มากขึ้น”  นายรณฤทธิ์ กล่าว

ขณะที่ นายอรรถพล ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบัญชีและการเงิน DPAINT กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงไตรมาส 1/2565 ที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้รวม 218 ล้านบาท เติบโต 28 ล้านบาท หรือ 14.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 11 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จากกำไรสุทธิในไตรมาส 4/2564 ที่ 10.5 ล้านบาท แต่ลดลงจากกำไรสุทธิ 21 ล้านบาทในช่วงเดียวกันในปีก่อน

โดยมีปัจจัยหลักมาจาก 1) ราคาน้ำมันและราคาปิโตรเคมีปรับตัวขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการผลิตสีทั่วโลกในไตรมาสนี้อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ 2) ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าทำให้ต้นทุนการนำเข้าสูงขึ้นส่งผลกระทบต่ออัตรากำไรข้างต้นของบริษัท 3) สภาวะอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจและกำลังซื้อฟื้นตัวช้าและอ่อนแอกว่าคาด อีกทั้ง มาตรการ Zero Covid ในจีนส่งผลให้เกิดความขาดแคลนของวัตถุดิบ และความล่าช้าในขนส่ง

อย่างไรก็ดี บริษัทได้ปรับราคาสินค้าขึ้น 6-12% ซึ่งมีผลในไตรมาส 2/2565 เพื่อรักษาอัตรากำไรและสะท้อนต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น นอกจากนี้ บริษัทได้ดำเนินการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต รวมถึงลดต้นทุนวัตถุดิบ และลดค่าใช้จ่ายในการบริหารและการขายอีกด้วย คาดว่าบริษัทจะลดต้นทุนการผลิตลงได้ประมาณ 3-5% ตั้งแต่ไตรมาส 2/2565 เป็นต้นไป จึงมั่นใจว่าอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นสู่สภาวะปกติ

โดยบริษัทคาดว่าในปี 2565 สามารถสร้างรายได้ให้เติบโตประมาณ 25-30% ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ และรักษาความเป็นผู้นำในตลาดสีระดับพรีเมียม คุณภาพสูง ซึ่งเป็นตลาดที่มีอัตรากำไรที่ดีไว้ได้อย่างมั่นคง ขณะเดียวกัน บริษัทวางเเผนที่จะขยายส่วนเเบ่งการตลาดในตลาดสีระดับกลาง ซึ่งเป็นกลุ่มขนาดใหญ่ โดยใช้กลยุทธ์การสร้างเเบรนด์ และเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการผู้บริโภคได้สูง

นอกจากนี้บริษัทตั้งเป้าส่งออกสีทาอาคารใน CLMV ซึ่งเป็นตลาดใหญ่มูลค่ากว่า 17,000 ล้านบาท โดยมุ่งเน้นนวัตกรรม “VAKUUM Technology” จากประเทศเยอรมนี และเดินหน้าตลาด Blue Ocean มากยิ่งขึ้น พร้อมสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่มีความโดดเด่นด้านนวัตกรรม ขยายกลุ่มเซ็กเม้นท์พรีเมียม เพื่อสนับสนุนอัตรากำไรให้อยู่ในระดับสูง

ทั้งนี้ สัดส่วนรายได้ของ DPAINT มีสัดส่วนสีคุณภาพพิเศษ 40% สีคุณภาพสูง 30% และสีคุณภาพคุ้มค่า 30% ของรายได้รวมจากการขายและบริการ โดยจำหน่ายผ่านช่องทางการจำหน่ายรวมกันมากกว่า 1,500 สาขา เกือบทั่วประเทศ ได้แก่ ร้านโมเดิร์นเทรด (Modern Trade) ร้านค้าปลีก (Retail) และงานโครงการ (Project)

รวมทั้ง การบริการเครื่องผสมสีที่นำไปติดตั้งให้ลูกค้าที่เป็นร้านค้าใช้งาน ซึ่งในปัจจุบัน บริษัทฯ มีเครื่องผสมสีทั้งหมด 505 เครื่อง โดยตั้งเป้าจะเพิ่มจำนวนขึ้นเป็น 600 เครื่อง ภายในสิ้นปี 2565 นี้ เพื่อเป็นการขยายช่องทางในการจัดจำหน่ายที่ตอบสนองความต้องการผู้บริโภคได้มากยิ่งขึ้น และจัดจำหน่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

Back to top button