“IAA” คาด GDP ปี 65 ฟื้น 3.18% ชู 4 หุ้นเด่น รับเปิดเมือง-ดอกเบี้ยขาขึ้น

สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุนมอง GDP ปี 65 ฟื้นตัว มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.18% ชู 4 หุ้นเด่น ได้แก่ BBL-BEM-CPN-KBANK รับอานิสงส์เปิดเมือง และดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น


นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) แถลงผลการสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์ ต่อมุมมองด้านการลงทุนครึ่งปีหลังของปี 2565 โดยครั้งนี้มีผู้ตอบแบบสำรวจ 24 บริษัท แบ่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์ 20 บริษัท บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน 3 บริษัท และบริษัทโกลด์ฟิวเจอร์ส 1 บริษัท ผลสำรวจโดยสรุป ดังนี้

ทั้งนี้สมมติฐานหลัก มีการปรับเพิ่มราคาน้ำมันดิบของปีนี้ จาก 94.03 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล มาเป็น 102.36 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล  แต่ GDP ปี 2565  ยังคงฟื้นตัว โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.18% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากการสำรวจครั้งก่อน (เม.ย.65) ซึ่งเคยใช้สมมติฐานที่ 3.09%

สำหรับปัจจัย ที่จะมีผลต่อทิศทางการลงทุนตลอดครึ่งปีหลังนี้ ปัจจัยบวก ได้แก่ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย มีผู้โหวต 75% รองมาคือ สถานการณ์โควิดไทยที่เบาลงจนมีการเปิดเมือง มีผู้ตอบแบบสำรวจ 62 %  และอันดับที่ 3 คือสถานการณ์โควิดโลก มีผู้ตอบ 58 % ตามลำดับ

ส่วนปัจจัยลบ มีความชัดเจนมากถึง 5 ปัจจัย เห็นได้จากการโหวตอย่างท่วมท้น ได้แก่ ภาวะเศรษฐกิจโลกที่เริ่มมีความกังวลเศรษฐกิจถดถอย และ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรุนแรงของ FED  โดยมีผู้ตอบทั้ง 2 ปัจจัยนี้ที่ระดับ  92% เท่ากัน  ส่วนอันดับ 3 คือ การลดหรือยุติมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของประเทศสำคัญทั่วโลก มีผู้ตอบมากถึง 83%  ส่วนอันดับ 4 คือ ปัจจัยการเมืองในต่างประเทศ มีผู้ตอบ 79%  และอันดับที่ 5 คือ แนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยในประเทศไทยที่มีผู้โหวตว่าเป็นปัจจัยลบมาถึง 75%

โดยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง.นั้น  เสียงโหวต 96% คาดว่าจะมีการปรับขึ้นในครึ่งหลังของปี 2565 อย่างแน่นอน แต่ระดับการคาดแตกต่างกันไป  เรียงลำดับขนาดการปรับขึ้นดังนี้

มี 25%ที่คาดว่าจะขึ้น 0.25%  ในครึ่งปีหลัง

มี 37% ที่คาดว่าจะขึ้น 0.50% ในครึ่งปีหลัง

มี 17% ที่คาดว่าจะปรับขึ้น 0.75% ในครึ่งปีหลัง

มี17% ที่คาดว่าจะ ปรับขึ้น 1.00% หรือมากกว่า ในครึ่งปีหลัง

อย่างไรก็ตาม มีนักวิเคราะห์ 4% ที่มองสวนว่าอัตราดอกเบี้ยจะลดลง 0.25% ในครึ่งปีหลัง ส่วนคาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 2565 ของตลาดถือเป็นข่าวดีที่มีค่าเฉลี่ยที่ 94.47 บาทเพิ่มขึ้นกว่าผลสำรวจครั้งก่อน ซึ่งอยู่ที่  89.11 บาทต่อหุ้น และครั้งนี้ คาดการณ์ EPS Growth ของปี 2565 อยู่ที่ 8.20% ทางด้านคาดการณ์ทิศทางหุ้นไทย ในระยะสั้นช่วงไตรมาสที่ 3/2565  ส่วนใหญ่คาดว่ามีแนวโน้มทางลบ รองลงมาคาดว่าเป็น Sideways แต่ก็มีผู้ตอบประมาณ 4% ที่มองว่าเป็นทิศทางบวก

โดยมีค่าเฉลี่ย คาดการณ์ดัชนีราคาหุ้นไทย ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 อยู่ที่ 1,569 จุด สำหรับคาดการณ์จุดสูงสุดของ SET Index ช่วงก.ค. – ธ.ค. 65 เฉลี่ยที่ระดับ 1,662 จุด  ส่วนจุดต่ำสุดอยู่ที่ 1,486 จุด และเป้าหมายดัชนี        ณ วันสิ้นปี 2565 มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1,646 จุด ซึ่งลดลง 101 จุดจากระดับคาดการณ์ไว้ครั้งก่อน ที่ 1,747 จุด

ขณะที่นักวิเคราะห์แนะนำให้กระจายพอร์ตการลงทุน แบ่งเป็น ดังนี้

เงินสดและเงินฝากระยะสั้น        18.63%

กองทุนตราสารหนี้                     14.06%

หุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย          27.39%

หุ้นหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ    22.92%

กองทุนอสังหาฯหรือ REIT           7.31%

ทองคำหรือกองทุนทองคำ           8.63%

อื่นๆ เช่น น้ำมัน                         1.06%

สำหรับในส่วนของการลงทุนหุ้นไทยนั้น แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุน ในหมวดธุรกิจ ค้าปลีกธนาคาร การท่องเที่ยว สื่อสาร และการแพทย์ในขณะที่ให้ลดน้ำหนักการลงทุนใน หมวดธุรกิจปิโตรเคมี  พลังงานและสาธารณูปโภค รวมถึง ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์

รายชื่อหุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำ ตรงกันตั้งแต่ 5 สำนักขึ้นไป มีดังนี้  (เรียงชื่อตามอักษรย่อ)

BBL ได้ประโยชน์จากวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้น จากการมีสินเชื่อส่วนใหญ่เป็นดอกเบี้ยลอยตัว ขณะที่เงินฝากมี 40% ที่ดอกเบี้ยลอยตัวงบดุลแข็งแกร่ง มูลค่าหุ้นถูก มี PER 7 เท่า และ PBV 0.5 เท่า รวมทั้งมี Dividend Yield ที่สูง 4% ต่อปี

BEM แนวโน้มรถใช้ทางด่วนและผู้โดยสารรถไฟฟ้าฟื้นตัวต่อเนื่อง จากการเปิดเทอม เปิดเมืองและยังได้ประโยชน์จากการกลับมาเปิดศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ใน ก.ย.นี้

CPN มีปัจจัยสนับสนุนจากการเปิดเมือง และการให้ส่วนลดค่าเช่าน้อยลง

KBANK คาดว่าธนาคารจะมีอัตราส่วนต่างดอกเบี้ย (NIM) ที่สูงขึ้นและคุณภาพสินเชื่อที่ปรับดีขึ้น และมีมุมมองเชิงบวกเรื่องการร่วมทุนกับ JMT อีกด้วย

ทั้งนี้นักวิเคราะห์ยังได้เพิ่มเติมการแนะนำไปยังรัฐบาล เกี่ยวกับนโยบายที่จะมีผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจ โดยส่วนใหญ่กล่าวถึงการช่วยเหลือประชาชน ทั้งปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ การลดค่าครองชีพและการเพิ่มกำลังซื้อแก่ประชาชน เพื่อกระตุ้นการบริโภคตามมาด้วย  การช่วยเหลือภาคธุรกิจ ได้แก่ การกระตุ้นการลงทุน การช่วยสภาพคล่องรักษาการจ้างงาน SME รวมถึงสนับสนุนกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากราคาพลังงานสูงขึ้น  และข้อแนะนำสุดท้าย เสนอให้เร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน

Back to top button