“ภัทร” ลั่น! ADVANC ปิดดีล 3BB-JASIF ดันบอร์ดแบนด์เทียบชั้น “ทรู” เคาะเป้า 264 บ.

โบรกแนะซื้อ ADVANC ราคาเป้าหมาย 264 บาท ชี้ดีลซื้อ 3BB-JASIF ดันบอร์ดแบนด์เทียบชั้น TRUE พร้อมมอง JASIF จะเป็นตัวขับเคลื่อนทางการเงินให้กับ ADVANC


บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ทางฝ่ายวิจัยยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” และราคาเป้าหมายที่ 264 บาท แก่หุ้น ADVANC หลังประกาศเข้าซื้อกิจการ TTTBB (สัดส่วนถือหุ้น 99.87%) และ ซื้อหน่วยลงทุน JASIF (สัดส่วนถือหุ้น 19%) จาก JAS มูลค่ารวมกว่า 32,000 ล้านบาท เมื่อวานนี้

ขณะนี้การเข้าซื้อกิจการกำลังรออนุมัติจากผู้ถือหุ้นของ JAS, JASIF และกสทช. โดย ADVANC คาดการณ์ว่าการซื้อกิจการจะเสร็จสิ้นในไตรมาสที่ 1/2566

อย่างไรก็ตาม การซื้อกิจการอาจทำให้ ADVANC มีค่าใช้จ่ายชดเชยพิเศษเกิดขึ้นจากการเลิกจ้าง ทำให้เกียรตินาคินภัทรมองว่าดีลนี้จะมีผลต่อกำไรของ ADVANC ในระดับคงที่ หรือเป็นบวกเล็กน้อยเท่านั้น ทั้งนี้ ยังคงมองปัจจัยเชิงบวกจากปันผล และการฟื้นตัวจากการเปิดประเทศอยู่

สำหรับปี 2564 TTTBB บันทึกขาดทุน 2 พันล้านบาท ขณะที่ JASIF บันทึกกำไร 1.5 พันล้านบาท และเมื่อรวมกับต้นทุนของกองทุน การเข้าซื้อกิจการอาจส่งผลให้กำไรของ ADVANC ลดลงประมาณ 5-6% ขณะเดียวกัน TTTBB มีหนี้สินสุทธิ 1.8 พันล้านบาท ในปี 2564 ทำให้คาดการณ์ว่าการรวมกิจการของ TTTBB ร่วมกับเงินกู้ใหม่เพื่อใช้ในการซื้อกิจการ จะทำให้อัตราส่วนหนี้สินสุทธิ (net gearing) ของ ADVANC เพิ่มขึ้นจาก 90% เป็น 132% ซึ่งยังคงอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ในมุมมองของเกียรตินาคินภัทร นอกจากนี้ ADVANC ยังยืนยันว่าจะนโยบายการจ่ายเงินปันผลไว้อย่างน้อย 70% หลังการซื้อกิจการ

โดยการซื้อกิจการจะช่วยเพิ่มส่วนแบ่งตลาด FBB ของ ADVANC จาก 14% เป็น 35% (ยังคงน้อยกว่า True ที่มีส่วนแบ่งตลาด 39%) และการเข้าซื้อ TTTBB ซึ่งมีผู้ใช้บริการอยู่ประมาณ 2.4 ล้านคน จะทำให้ ADVANC สามารถลงทุนใน FBB และธุรกิจสื่อได้มากขึ้น (เพื่อบริการลูกค้า FBB)

ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ว่า มีมุมมองเป็นลบในระยะสั้นต่อหุ้น JASIF จากกรณีการเสนอซื้อหุ้น 19% จาก ADVANC อ้างอิงจากการชี้แจงของ ADVANC ที่เสนอให้ผู้ถือหน่วยลงทุน JASIF อนุมัติ ได้แก่

1) ยกเลิกข้อกำหนดการถือครองขั้นต่ำของ JAS ในการโอน JASIF ไปยัง ADVANC โดยไม่เปลี่ยนระยะเวลา lock-up ที่จะหมดอายุลงในปี 2568 2) ยกเลิกสัญญาห้ามทำการค้าแข่งกับนายจ้าง (non-competitive clause) 3) ยกเลิกการทำประกันรายได้นับตั้งแต่วันที่โอนหุ้น และ 4) ผู้ถือหน่วยลงทุน JASIF จะได้รับประโยชน์มากกว่าจากการต่อสัญญาเช้า 6 ปี โดยจะทำให้มีการบริหารความเสี่ยงด้านเครดิตของสปอนเซอร์ และเพื่อโอกาสในการเข้าซื้อสินทรัพย์ใหม่ๆในอนาคต

ด้านไทม์ไลน์ของธุรกรรมนี้ ทาง ADVANC ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องจัดการประชุมผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติดีลนี้ ส่วน JAS ประกาศประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 23 ก.ย.65 และคาดว่าคณะกรรมการการลงทุนของ JASIF จะอนุมัติดีลนี้ก่อนจะจัดประชุมผู้ถือหน่วยลงทุนในอีกไม่กี่วันหลังจากนั้น หลังจากผู้ถือหุ้นของ JAS และผู้ถือหน่วยลงทุนของ JASIF อนุมัติแล้ว คาดว่าจะเสนอเรื่องให้กสทช.พิจารณาในขั้นตอนต่อไป การทำธุรกรรมนี้คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนมี.ค. 65

ทั้งนี้ ประเด็นหลักจากการประชุมนักวิเคราะห์กับ ADVANC ในวันที่ 4 ก.ค.65 ที่ผ่านมา คือ 1) ADVANC เชื่อว่าการปรับโครงสร้างสัญญาเช่าจะช่วยคุม NAV ของ JASIF ได้ 2) หากผู้ถือหน่วยลงทุนของ JASIF ปฎิเสธดีลนี้ ADVANC สามารถยกเลิกการเสนอซื้อได้ และดำเนินการเข้าซื้อเพียง 3BB อย่างเดียว 3) ADVANC กำลังมองหาโอกาสการสร้างรายได้จากสินทรัพย์ และ JASIF ถูกมองว่าจะเป็นตัวขับเคลื่อนทางการเงินให้กับ ADVANC

ด้านผลกระทบต่อฐานะการเงินหากผู้ถือหน่วยลงทุนของ JASIF อนุมัติดีลนี้ จะทำให้ปันผลต่อหน่วยลงทุน ในปี 2566-2568 ลดลงจาก 0.66 บาท มาที่ 0.56 บาท หรือลดลงราว 31-41% จากนั้นปันผลในปี 2569-2574 จะลดลงจาก 0.66 บาท มาที่ 0.51 บาท หรือลดลงราว 23-24% หลังจากนั้นเงินปันผลในปี 2572-2580 จะค่อยเพิ่มขึ้นจาก 0.51 บาท เป็น 0.65 บาท หรือคิดเป็นการเพิ่มขึ้นราว 27-29% จากการคำนวนของบล.กสิกร ฝ่ายวิเคราะห์ระบุว่าการเข้าซื้อที่ราคา 8.5 บาทไม่บ่งบอกถึงการทำสัญญาเช่าใหม่หลังปี 2580 โดยมี WACC อยู่ที่ 3%

ส่วนผลกระทบต่อฐานะการเงินหากผู้ถือหน่วยลงทุนของ JASIF ไม่อนุมัติดีลนี้ จะมีความเป็นไปได้สองอย่างคือ 1) ADVANC อาจล้มเลิกทั้งดีล 2) ADVANC อาจเลือกที่จะเข้าทำรายการเพียงส่วนของ 3BB โดยหากเป็นดังข้อ 1. ความสามารถในการจ่ายปันผลของ JASIF ในปี 2566-2574 จะคงเดิม และความเสี่ยงต่อการทำสัญญาใหม่ในปี 2575 ก็จะยังคงมีความสำคัญสูง ซึ่งบ่งชี้ถึงมูลค่าเหมาะสมที่ 8.85 บาท ส่วนถ้าหากเป็นไปตามข้อ 2. ความสามารถในการจ่ายปันผลของ JASIF ในปี 2566-2574 จะคงเดิม แต่คาดว่า JASIF น่าจะต้องมีการอัดฉีดเพิ่มหลังเดือนม.ค. 2575 ซึ่งบ่งชี้ถึงมูลค่าเหมาะสมที่ 6.6 บาท

ทั้งนี้ บล.กสิกรคงคำแนะนำ ถือ JASIF และคงราคาเป้าหมายไว้ที่ 8.85 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ยังไม่รวมดีล หรือการควบรวมใดๆ โดยฝ่ายวิเคราะห์ระบุว่ายังคงชอบ DIF มากกว่า JASIF ที่กำลังจะมีการปรับโครงสร้างการจ่ายปันผลเพื่อสะท้อนถึงความเสี่ยงด้านเครดิตที่ลดลงของสปอนเซอร์ใหม่ซึ่งก็คือ ADVANC และอัตราค่าเช่าในตลาด

โดยฝ่ายวิเคราะห์ระบุว่ายังไม่ได้ปรับคำแนะนำ JASIF เป็น ขาย เพราะเชื่อว่า ADVANC อาจมีการกลยุทธ์ เช่น การขายสินทรัพย์ เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ผู้ถือหน่วยลงทุนของ JASIF อนุมัติดีลนี้

Back to top button