AAI โชว์ศักยภาพผู้นำ “อาหารสัตว์” ลุยปั้นแบรนด์ใหม่ตีตลาดไทย-ตปท.

AAI โชว์ศักยภาพผู้ผลิตและจำหน่ายสัตว์เลี้ยงแบบเปียกรายใหญ่ของไทย มองโอกาสเติบโตทางธุรกิจเด่นตามเทรนด์ตลาดโลกที่มีดีมานด์สูง เดินหน้าทำแบรนด์ตลาดทั้งในไทยและต่างประเทศ พัฒนาเป็นแบรนด์ระดับโลก


นายเอกกมล ประสพผลสุจริต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการเงิน บริษัท เอเชี่ยนซี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ASIAN เปิดเผยว่า บริษัทมุ่งผลักดัน บริษัท เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ AAI ซึ่งเป็นบริษัทในเครือให้เป็นบริษัทผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกชั้นนําของประเทศไทยและเป็นที่ยอมรับในระดับโลก สอดรับกับจังหวะที่แนวโน้มของประชากรโลกเริ่มเข้าสู่สังคมสูงอายุ และขนาดของครอบครัวเล็กลง

ทั้งนี้ ส่งผลให้เกิดความนิยมในการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงไว้เป็นเพื่อนหรือเป็นเสมือนสมาชิกในครอบครัวเพิ่มมากขึ้น (Pet Humanization) ตามแผนการสร้างความแข็งแกร่งในทุกกลุ่มธุรกิจซึ่งเป็นแผนกลยุทธ์หลักของกลุ่มบริษัท

นายเอกราช พรรณสังข์ กรรมการผู้จัดการ AAI กล่าวว่า บริษัทเป็นหนึ่งในผู้รับจ้างผลิตผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียก (Wet Pet Food) และผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทานบรรจุภาชนะปิดผนึก (Human Food) ชั้นนำของประเทศ โดยมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมมานานกว่า 15 ปี ทำให้สามารถผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและมาตรฐานความปลอดภัยจนเป็นที่ยอมรับจากลูกค้าเจ้าของแบรนด์ผลิตภัณฑ์และผู้บริโภคในระดับสากล

นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญต่อการพัฒนาและเติบโตอย่างยั่งยืน โดยบริษัทมีแผนกลยุทธ์การพัฒนาองค์กรอย่างต่อเนื่องเพื่อยกระดับจากการเป็นผู้ร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Co-developer) สู่การเป็นคู่ค้าเชิงกลยุทธ์ (Strategic Partners) เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันของบริษัทในระยะยาว

โดยปัจจุบัน AAI แบ่งผลิตภัณฑ์เป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ (1) ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง (Pet Food) สำหรับสุนัขและแมว ครอบคลุมทั้งผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกและผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงแบบเม็ด ภายใต้เครื่องหมายการค้าของลูกค้าที่เป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงระดับสากล และภายใต้เครื่องหมายการค้าของกลุ่มบริษัท ซึ่งประกอบด้วย แบรนด์มองชู (monchou) และแบรนด์มาเรีย (Maria) เจาะกลุ่มลูกค้าในตลาดสินค้าพรีเมียม แบรนด์มองชู บาลานซ์ (monchou balanced) และแบรนด์ฮาจิโกะ (Hajiko) เจาะกลุ่มลูกค้าในตลาดมวลชน และ แบรนด์โปร (Pro) เจาะกลุ่มลูกค้าโดยเน้นการแข่งขันด้านราคาเป็นหลัก

(2) ผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทานบรรจุภาชนะปิดผนึก (Human Food) ในรูปแบบผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าในน้ำปรุงรสและซอสปรุงรส รวมถึงผลิตภัณฑ์อาหารปรุงสุกพร้อมทาน (Ready-to-eat) ภายใต้เครื่องหมายการค้าของลูกค้าทั้งหมด นอกจากนี้ ยังจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผลพลอยได้ (By-product) จากการแปรรูปปลาทูน่า เช่น ผลิตภัณฑ์ปลาป่น ผลิตภัณฑ์น้ำนึ่งปลา และผลิตภัณฑ์น้ำมันปลา เป็นต้น

สำหรับบริษัทมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านวัตถุดิบและสูตรการผลิตจนเป็นที่ยอมรับของลูกค้า ส่งผลให้ได้รับคำสั่งซื้อผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงแบบพรีเมี่ยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งได้ขยายกำลังการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้น โดยได้เพิ่มกำลังการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกจาก 25,000 ตันต่อปีในปี 2560 เป็น 42,000 ตันต่อปีในปัจจุบัน

ทั้งนี้ AAI ยังมีเป้าหมายพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงภายใต้แบรนด์ของตนเอง ด้วยศักยภาพในฐานะผู้ผลิตอาหารและอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกรายใหญ่ของประเทศไทย ให้ผลิตภัณฑ์ของตนเองดังกล่าวเข้าถึงกลุ่มลูกค้าในวงกว้าง โดยได้เริ่มต้นจากการเข้าไปทำการตลาดทั้งในประเทศไทยและประเทศจีน เพื่อเป็นฐานในการพัฒนาแบรนด์สู่ระดับสากล

นางสาววรัญรัชต์ อัสสานุพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่สายการเงิน AAI กล่าวว่า บริษัทมีกลยุทธ์ขยายตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงเข้าสู่กลุ่มผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น เพื่อเสริมสร้างความสามารถการแข่งขันในธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและรักษาอัตรากำไรในระยะยาว โดยได้พัฒนาแบรนด์ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงของตนเองขึ้นหลากหลายแบรนด์ เพื่อให้มีผลิตภัณฑ์ครบทุกประเภทและครอบคลุมความต้องการของกลุ่มลูกค้าในทุกตลาดย่อย (Market Segment) ทั้งอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียก อาหารสัตว์เลี้ยงแบบเม็ด และขนมสำหรับสัตว์เลี้ยง

ส่วนบริษัทได้ให้ความสำคัญกับการทำการตลาดและเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง ผ่านแผนการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้ถึงแบรนด์ผลิตภัณฑ์ (Brand Awareness) และเสริมสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ผลิตภัณฑ์ (Brand Image) ให้แก่ผู้บริโภคในวงกว้าง โดยเฉพาะตลาดภายในประเทศ ควบคู่ไปกับการเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายโดยเน้นการขยายตลาดผ่านร้านค้าสัตว์เลี้ยงและโมเดิร์นเทรดขนาดใหญ่ รวมทั้งแพลตฟอร์มออนไลน์อีคอมเมริช

ทั้งนี้ ด้วยความสามารถในการวิจัยและพัฒนาของบริษัท และความสามารถในการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ร่วมกับกลยุทธ์ที่มุ่งยกระดับสถานะของบริษัทจากการเป็นผู้ร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Co-developer) กลายเป็นคู่ค้าเชิงกลยุทธ์ (Strategic Partner) ที่เติบโตไปพร้อมกับลูกค้า ประกอบกับแนวโน้มของอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ส่งผลให้บริษัทมีผลประกอบการที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้นจาก 3,588 ล้านบาทในปี 2562 เป็น 4,985 ล้านบาทในปี 2564 คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 18% ต่อปี ซึ่งรายได้จากธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ตามความสำเร็จในการปรับตัวเข้าสู่ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงแบบพรีเมี่ยม และมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 168 ล้านบาทในปี 2562 เป็น 639 ล้านบาทในปี 2564 คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 95% ต่อปี

Back to top button