น้ำมะพร้าว IF

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (3 ก.ค. 68) ราคาหุ้นของ บริษัท ไทย โคโคนัท จำกัด (มหาชน) หรือ COCOCO ณ เวลา 11:02 น. อยู่ที่ระดับ 7.30 บาท บวก 0.40 บาท หรือ 5.80% ราคาสูงสุดอยู่ที่ 7.45 บาท ราคาต่ำสุดอยู่ที่ 6.80 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 53.65 ล้านบาท โดยราคาหุ้น COCOCO ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องหลังจากเมื่อวันที่ 2 ก.ค. 68 ราคาหุ้น COCOCO มีแรงซื้อเก็งกำไรเข้ามาอย่างหนาแน่น ระหว่างวันราคาหุ้นปรับขึ้นแตะระดับสูงสุด 7.15 บาท และปรับลดลงต่ำสุด 5.90 บาท ก่อนมาปิดตลาดที่ 6.90 บาท ปรับเพิ่มขึ้น 1 บาท หรือ 16.95% ด้วยมูลค่าซื้อขายกว่า 153.54 ล้านบาท ดังนั้น บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) จึงยังคงแนะนำ “ซื้อ” สำหรับ COCOCO ซื้อขายที่ P/E ratio ปี 2568 ที่ 14 เท่า ทั้งนี้จะเห็นได้ว่ามีระดับส่วนลดสูงมาก เมื่อเทียบกับ IFBH (ราคาถูกในเชิงเปรียบเทียบ) ฉะนั้นจึงมองว่าหุ้นกลุ่มเครื่องดื่มน้ำมะพร้าวของประเทศไทย น่าจะถูกปรับเพิ่มน้ำหนักลงทุนมากขึ้น นอกจากนี้ นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) เปิดเผย ว่า จากกรณีบริษัท อินโนเวทีฟ ฟู้ด แอนด์ เบฟเวอร์เรจ โฮลดิ้ง จำกัด หรือ IFBH บริษัทแม่ของแบรนด์น้ำมะพร้าวชื่อดัง “IF” จากประเทศไทย เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง โดยการเสนอขายหุ้น IPO มูลค่า 1,160 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง (ประมาณ 148 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ราคาหุ้นมีการปรับขึ้น 56% จากราคา IPO ที่ 27.80 ดอลลาร์ฮ่องกง ทำให้ซื้อขายที่อัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) ที่ระดับ 28 เท่า อีกทั้งจากกรณีที่หุ้นของ IFBH Ltd. เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงวันแรกเมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 68 ทำราคาเปิดพุ่งแรงสูงสุดถึง 67% ขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่ 46.50 ดอลลาร์ฮ่องกง หลังการเสนอขายหุ้น IPO มูลค่า 1.16 พันล้านดอลลาร์ฮ่องกง (ประมาณ 148 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ทั้งนี้ในมุมมองของ บล.กรุงศรี มองว่า การเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงของ IFBH Ltd. ส่งผลในเชิงบวกต่อการประเมินมูลค่าหุ้น (Valuation) ของบริษัทในกลุ่มเดียวกันในประเทศไทย โดยเฉพาะ COCOCO และ MALEE เนื่องจากอัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น (PER) ปี 2568 ของ IFBH หลังเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงอยู่ที่ 28 เท่า ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ราคาหุ้นในปัจจุบันของ COCOCO ที่ระดับ 7.00 บาท คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น (PER) ในปี 2568 ที่ระดับ 13.7 เท่า ส่วน MALEE อยู่ที่ 6.00 บาท คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น (PER) ในปี 2568 ที่ระดับ 8.6 เท่า อย่างไรก็ตามการประเมินของบล.กรุงศรี ซึ่งถือเป็นระดับที่น่าสนใจหากเทียบในเชิงของการที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน และอาจถือเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนที่สนใจหุ้นในกลุ่มนี้ เนื่องจากเมื่อเทียบ “พีอี เรโช” ระหว่างกันแล้วเท่ากับว่าหุ้นน้ำมะพร้าวไทยยังซื้อขายบนค่าพรีเมียมที่ต่ำกว่า IFBH