น้ำมันลดแรง! หอการค้าฯ มองบวกกระตุ้นกำลังซื้อกว่า 90 ล้านบาท

ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย มองราคาน้ำมันเบนซินลดลง 3 บาท เป็นผลบวกต่อเศรษฐกิจ เพราะสามารถกระตุ้นกำลังซื้อได้กว่า 90 ล้านบาท


นายธนวรรธน์ พลวิชัย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประมาณการจีดีพีในปีอยู่ที่ 2.5-3.5 % ส่วนราคาน้ำมันเบนซิน และแก๊สโซฮอล์ ที่ประกาศลดลง 3 บาทต่อลิตร มีผลในวันพรุ่งนี้ เป็นสิ่งที่พยุงอำนาจซื้อในระบบเศรษฐกิจ ประชาชน และรองรับเทศกาลวันหยุดยาวในสัปดาห์หน้า โดยน้ำมันลดลงทุกๆ 1 บาท จะมีผลต่อระบบเศรษฐกิจ 0.1% ต่อปี หากลดไปได้ 3 บาท จะดึงเศรษฐกิจได้ 0.15% และมีเม็ดเงินสะพัดในระบบ 90 ล้านบาทต่อวัน ทำให้เงินจำนวนนี้กลับมาหนุนกำลังซื้อในประเทศมากยิ่งขึ้น ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือน มิ.ย. อยู่ที่่ 41.6%

ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย (TCC-CI) ประจำเดือน มิ.ย. 65 ซึ่งเป็นการสำรวจความคิดเห็นของภาคธุรกิจและหอการค้าทั่วประเทศ จำนวน 369 ตัวอย่าง ในระหว่างวันที่ 22-30 มิ.ย. 65 นั้น นายวชิร คูณทวีเทพ ผู้อำนวยการสถาบันยุทธศาสตร์การค้า มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผย ดัชนีฯ อยู่ที่ระดับ 36.3 เพิ่มขึ้นจากระดับ 35.2 ในเดือน พ.ค.65 เพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรก หลังจากที่ลดลงต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือน ม.ค.65 สะท้อนว่า ภาคธุรกิจเริ่มมองเห็นทิศทางในด้านบวกมากขึ้น จากสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน รวมทั้งการผ่อนคลายมาตรการในการเดินทางของนักท่องเที่ยว

โดยปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกับดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย เดือน มิ.ย. 65  ซึ่งเป็นปัจจัยบวก ได้แก่ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ได้ผ่อนคลายมาตรการในการเดินทางเข้าประเทศไทย โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. 65 ยกเลิกการกักตัวทุกรูปแบบ สำหรับคนไทยไม่ต้องลงทะเบียนผ่านระบบ Thailand Pass และไม่ต้องตรวจหาเชื้อโควิดก่อนเข้าประเทศ ส่วนชาวต่างชาติยังต้องลงทะเบียนในระบบ Thailand Pass  การผ่อนคลายให้เปิดสถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ หรือสถานที่อื่นที่มีลักษณะคล้ายกัน สามารถกลับมาเปิดบริการได้ในพื้นที่เฝ้าระวัง (สีเขียว) และพื้นที่นำร่องท่องเที่ยว (สีฟ้า)

คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.50% โดยประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ต่อเนื่อง และปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2565 ใหม่ โดยคาดว่าจะขยายตัวได้ 3.3% จากเดิม 3.2% ส่วนปี 66 คาดว่าจะขยายตัวได้ 4.2% จากเดิม 4.4%

การส่งออกของไทยเดือน พ.ค. 65 ขยายตัว 10.47% มูลค่าอยู่ที่ 25,508.96 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และการนำเข้าขยายตัว 24.15% มีมูลค่าอยู่ที่ 27,383.18 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้ดุลการค้าขาดดุล 1,874.22 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ  รวมถึงราคาพืชผลทางการเกษตรหลายรายการปรับตัวดีขึ้น หรือทรงตัวในระดับที่ดี โดยเฉพาะข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์

อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยลบ ได้แก่ ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะราคาน้ำมันดีเซลขายปลีกในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 2.00 บาทต่อลิตร เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา รวมถึงแก๊สโซฮอล ออกเทน 91 (E10) และแก๊สโซฮอล ออกเทน 95 (E10) ปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 1.30 บาทต่อลิตร

ความกังวลของเศรษฐกิจยังชะลอตัวลง ตลอดจนปัญหาค่าครองชีพและราคาสินค้าที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง รวมถึงสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน ที่อาจส่งผลให้ราคาน้ำมันโลกมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น และกระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้า ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่เพิ่มแรงกดดันของการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจโลกให้ช้าลง

อีกทั้งความวิตกกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังคงเกิดขึ้นทั่วประเทศ ยังคงส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของประชาชน การทำธุรกิจ และยังคงมีสายใหม่พันธุ์เกิดขึ้นเรื่อยๆ

SET Index SET Index เดือน มิ.ย. 65 ปรับตัวลดลง 95.08 จุด จาก 1,663.41 ณ สิ้นเดือนพ.ค. 65 เป็น 1,568.33 ณ สิ้นเดือน มิ.ย. 65

ค่าเงินบาทปรับตัวอ่อนค่าขึ้นเล็กน้อยจากระดับ 34.416 บาท/ดอลลาร์ ณ สิ้นเดือนพ.ค. 65 เป็น 34.972 บาท/ดอลลาร์ ณ สิ้นเดือน มิ.ย. 65

โดยภาคเอกชนมีข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ และแนวทางการดำเนินการแก้ไขปัญหาคือ มาตรการดูแลเรื่องต้นทุน ราคาปัจจัยการผลิต และต้นทุนการดำเนินงานต่างๆ  มาตรการดูแลราคาพลังงาน เช่น น้ำมัน แก๊ส ไฟฟ้า และอื่นๆ ให้อยู่ในระดับที่ไม่สูงจนเกินไป จนทำให้ต้นทุนการประกอบกิจการและการดำเนินชีวิตของประชาชนสูงขึ้น  มาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพประชาชน ในช่วงที่ราคาพลังงานเพิ่มสูงขึ้น  แนวทางการดูแลนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ที่จะเดินทางไปท่องเที่ยวตามสถานที่สำคัญทั่วประเทศไทย

การเตรียมความพร้อมในการรับมือกับเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ ที่จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตภาคประชาชน และภาคธุรกิจอีกครั้ง  การกระตุ้นประชาชนให้เร่งฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้ได้มากที่สุด เพื่อเป็นภูมิคุ้มกันไม่ให้เกิดผลรุนแรงหากได้มีการสัมผัสเชื้อ

Back to top button